Skip to main content

โดย ธิติญา เหล่าอัน 
นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ทบทวน

งานศึกษาเรื่อง “เทคโนกสิกรรมกับสังคมผู้ประกอบการในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ 2530-2540” นับเป็นงานชิ้นแรกในชีวิตของข้าพเจ้าที่มองหาผู้กระทำ (Actor) ที่ไม่ใช่มนุษย์ ข้าพเจ้าในฐานะนักเรียนประวัติศาสตร์ตั้งคำถามแรกว่าจะอธิบายประวัติศาสตร์ด้วยการเริ่มต้นจากมนุษย์ก่อนต้องทำยังไง? หรือหากไม่ใช่มนุษย์ในฐานะผู้กระทำก่อน แล้วคำอธิบายจะเป็นอย่างไร? แล้วหากไม่เริ่มจากการอธิบายมนุษย์ก่อน การเล่าเรื่อง หรือการอธิบายเรื่องนั้นจะเข้าไปสัมพันธ์กับสิ่งอื่น ๆ ได้อย่างไร? คำถามเหล่านี้ไม่รู้จะจับต้นชนปลายอย่างไรดี แต่เอาละ ปัญหานี้มีผู้ชี้ทางให้ ขอขอบคุณอาจารย์ทินกฤต สิรีรัตน์ อาจารย์สิทธิเทพ เอกสิทธิพงษ์ และอาจารย์วิลลา วิลัยทอง ที่แนะนำหนังสือที่เกี่ยวข้องทำให้รู้จักกับการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีศึกษา (STS - Science, Technology, and Society) ที่มีการศึกษามาแล้วตั้งแต่ 1970 เป็นมา โดย Thomas Parke Hughes, Michel Callon, Thomas Kuhn, Bruno Latour และนำไปสู่การค้นคว้าทำให้พบว่ามีงานศึกษาเกี่ยวกับวัตถุ สิ่งของ มาแล้ว เช่น บทความเรื่องชีวิตทางสังคมของเทคโนโลยีที่เคลื่อนย้าย: เขื่อนเจ้าพระยาในฐานะเชิงวัตถุขอบเขต (2018) เขียนโดยจักรกริช สังขมณี บทความเรื่อง “Inscribing Siam: The State of Documentary and Spatial Practices” (2020) เขียนโดย Sing Suwannakij และ Søren Ivarsson หรือบทความเรื่อง “Filing the Raj: Political technologies of the Imperial British State” (2013) เขียนโดย Patrick Joyce ข้อสรุปสั้น ๆ จากการทบทวนของข้าพเจ้าพบว่าท้ายที่สุดแล้วงานศึกษาหรือเรื่องเล่าทั้งหมด “มิได้ไปพ้นมนุษย์แต่อย่างใด” (human) หากแต่เป็นการกล่าวว่า “มนุษย์มิใช่ศูนย์กลางในการเล่าเรื่อง แต่เป็นสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์” (non-human หรือ object) และ “มนุษย์กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ทุกสรรพสิ่งสัมพันธ์กัน”

เล่าเรื่อง

จากข้อสรุปตามแบบที่ข้าพเจ้าเข้าใจ นำไปสู่การ (ทดลอง) เขียนงานเรื่องผ่านชุดข้อมูลต่าง ๆ ที่เก็บไว้ทั้งส่วนที่เป็นเอกสารและการลงพื้นที่สัมภาษณ์ (Oral History) งานที่ถูกนำมาเล่าเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์เรื่องการหลุดพ้นจากความยากจนของคนอีสาน ด้วยการเลือกประเด็นการสร้างเครือข่ายของผู้ประกอบการเครื่องจักรการเกษตรในเขตชุมชนทุ่งกุลาร้องไห้ประกอบด้วย ชุมชนบ้านกู่กาสิงห์ ชุมชนบ้านเมืองบัว ชุมชนบ้านคูหินทราย และชุมชนบ้านเล้าข้าว ทั้ง 4 หมู่บ้านตั้งอยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ด การวางโครงเรื่องไปตามหลักฐาน และการหาหลักฐานยังคงถูกดำเนินต่อไป งานนี้ได้ข้อสรุปว่า กลุ่มผู้ประกอบการใช้เครื่องจักรการเกษตรสร้างเครือข่ายทางเศรษฐกิจ พอกลับมาอ่านพบว่างานอธิบายนี้เริ่มจากมนุษย์และมนุษย์ยังเป็นผู้กระทำหลักต่อไป เห็นวิธีการ เห็นเครือข่ายของผู้คนเต็มไปหมด แต่มันยังไม่เป็น non-human ข้าพเจ้าขอให้จีฮาน เดือนเด่น นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อ่านงานและแลกเปลี่ยนกันบทสนทนา เขาหยิบยกตัวอย่างการเขียนและการเล่าเรื่องงานด้วยการใช้ประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่า ลองให้เครื่องจักรการเกษตรเป็นผู้ดำเนินเรื่อง แล้วตามไปดูว่าเครื่องจักรเหล่านี้ทำอะไรบ้างและอย่างไร?...

ข้าพเจ้ารื้องานนี้แล้วเขียนใหม่ ด้วยการใช้ประโยคจากการสนทนาแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นแนวทาง สิ่งที่พบคือ การหันกลับมามองเรื่องราวด้วยการไม่ใช้มนุษย์เป็นตัวกระทำแต่ใช้เครื่องจักรการเกษตร คือ รถไถนาเดินตาม รถแทรกเตอร์ และรถเกี่ยวข้าวเป็นจุดเริ่มต้นศึกษาแทน โดยมีข้อเสนอ 2 ประเด็น คือ ประเด็นที่หนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องจักรการเกษตรกับผู้ประกอบการมีลักษณะอย่างไร และประเด็นที่สองเครื่องจักรฯ เหล่านี้สร้างเครือข่ายอย่างไร และเข้าไปสัมพันธ์กับพันธุ์ข้าว ผืนนา ป่ารก นกหนูแมลง รวมถึงการความเชื่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไร การเขียนจบลงด้วยข้อสรุปว่า เครื่องจักรการเกษตรเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทำให้เกิดการก่อตัวของผู้ประกอบการขึ้นมา และมีความสัมพันธ์กันโดยเทคโนโลยีฯ ถูกปรับเปลี่ยน ดัดแปลง และยืดหยุ่น (boundary object)  

 

ภาพ: เครื่องจักรการเกษตรพื้นที่แห่งความเสี่ยงกับพื้นที่แห่งความเชื่อ

 

การทำเข้าใจด้วยการเริ่มต้นมองสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ก่อน แล้วเห็นอะไรจากการเขียนงาน? 

1. ความสัมพันธ์ของสิ่งที่ใช่มนุษย์ปรากฏอยู่และสัมพันธ์ขนานกันไป เช่น กรณีความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สะท้อนให้เห็นว่า ที่นาเป็นพื้นที่ทำงานของเครื่องจักรการเกษตรและถูกทับซ้อนด้วยพื้นที่ความเชื่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นการไหว้ ขอขมา กล่าวมาลาโทษเป็นความเชื่อที่ทำให้การทำงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ขณะเดียวกันพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ถูกเชื่อมโยงระหว่างแม่ย่านางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำรถไถนาและรถเกี่ยวข้าว และสิ่งศักดิ์ศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่รับจ้าง เช่น พื้นที่ของผี เจ้าพ่อ หรือเจ้าแม่   ต่าง ๆ ที่มีอำนาจในเขตดังกล่าว การเชื่อมโยงนี้แสดงให้เห็นความพยายามในการจัดการสภาวะไม่มั่นคงไม่แน่นอนของผู้ประกอบการที่เกิดจากความไม่สอดคล้องระหว่างสภาพการทำงานที่มีความเสี่ยงสูงแต่สวนทางกับเรื่องรายได้หรือผลตอบแทน ทำให้เกิดความรู้สึกในเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน พวกเขาจึงหาทางออกโดยการเคารพและทำพิธีต่าง ๆ ต่อผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อต้องการหลุดไปจากสภาวะที่ไม่แน่นอนหรือภาวะวิกฤตนั่นเอง

2. ในฐานะนักเรียนประวัติศาสตร์มักมองหาว่ามนุษย์เข้าไปกระทำอะไร แล้วส่งผลอย่างไร แต่พอเปลี่ยนวิธีการมองด้วยการมองว่าเทคโนโลยีหรือเครื่องจักรการเกษตรเข้าไปทำอะไรกับมนุษย์แล้วส่งผลอย่างไร ทำให้เห็นว่ารถไถนาและรถเกี่ยวข้าวพาไปสัมพันธ์นิเวศอื่น ๆ เช่น รถไถนาและรถเกี่ยวข้าวสัมพันธ์และถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในไร่นาขนาดใหญ่ และความทันสมัยของเทคโนโลยีสมัยของเครื่องจักรฯ เหล่านี้มิได้ตอบสนองต่อการใช้งานในพื้นที่จริงเสมอไป รวมไปถึงความไม่แม่นยำและความไม่ไว้ใจต่อเทคโนโลยีทำให้มีการนำประสบการณ์และความเข้าใจต่อการใช้งานรถไถนาและรถเกี่ยว สร้างอู่ซ่อมและดัดแปลงเครื่องจักรฯ เหล่านี้ เพื่อนำไปสู่การใช้งานได้จริงด้วยการคำนึงถึงเรื่องการย่นระยะเวลาทำนา และต้นทุนในการจ่ายน้อยลง จึงนำไปสู่การสร้างการผลิตความรู้ใหม่ ๆ เกิดเป็นชุมชนนักนวัตกรรมเครื่องจักรการเกษตรขึ้น เทคโนโลยีจึงมิใช่วัตถุที่มีขอบเขตตายตัวแต่มันถูกแปลงสภาพเสมอ

3. กรอบแนวคิดงานเรื่องนี้อยู่ภายใต้สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ จึงทำให้เห็นว่ามีหลักฐานอื่น ๆ อีก (นอกจากในเอกสารและการสัมภาษณ์) ทำให้หันกลับไปมองลักษณะที่นา ภาวะแห้งแล้งฝนทิ้งช่วง เสียงเครื่องจักรฯขณะทำงาน หลังคาโรงจอดรถ แม่ย่านาง ผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การซื้อประกันรถเพื่อการเกษตร อุปกรณ์ต่อพ่วง จอบหมุน โซ่ ล้อขับ ล้อนำ ลูกกลิ้งโซ่บน-โซ่ล่าง ตีนตะขาบ ชุดหัวเกี่ยว สถานีควบคุม ฝุ่นข้าว นกกระยางขาว ความแปลกใหม่ รสนิยม ฯลฯ หลักฐานเหล่านี้มีบทบาทในการกำหนดและนำไปสู่การอธิบายความเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจได้เช่นเดียวกับบทบาทของมนุษย์กระทำ

4. ข้อสรุปสั้น ๆ ที่ข้าพเจ้าพบจากการคลุกคลีค้นคว้าและเรียบเรียงงานชิ้นนี้คือ “มนุษย์กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์เป็นความสัมพันธ์ในแบบเส้นขนานกันไป”

 

งานมานุษยวิทยา 68 กับนักเรียนประวัติศาสตร์

งานมานุษยวิทยา 68 จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 7-9 กรกฎาคม 2568 มีองค์ปาฐกถาบรรยายทั้ง 3 วัน โดยมีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการถูกปกครอง ญาณวิทยาของภูมิศาสตร์ และสิ่งที่เป็นที่เป็นมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์ โดยรายละเอียดของทั้ง 3 ประเด็น สรุปความได้ดังต่อไปนี้

1.เรื่อง “พหุภาวะที่ปกครองไม่ได้: ข้อจำกัดความรู้มนุษย์และโอกาสใหม่ในการเปลี่ยนแปลง” บรรยายโดยรองศาสตราจารย์ ดร.เก่งกิจ กิติเรียงลาภ กล่าวถึงช่วงเวลาของการทำงานวิชาการที่ศึกษาค้นคว้าและลงพื้นที่ในระหว่าง พ.ศ.2559-2568 ชี้ว่าอำนาจสามารถควบคุมและนิยามทุกสิ่งได้อย่างเบ็ดเสร็จ โดยเริ่มต้นจากการปรับมุมมองจาก “มนุษย์ในฐานะประธาน” (Subject) ที่ถูกอำนาจกำหนด ให้เป็นการพิจารณา “กระบวนการการกลายเป็นประธาน” (Subjectivation) ซึ่งคือการที่มนุษย์พยายามหลุดพ้นจากคำนิยามของอำนาจเพื่อเข้าสู่สภาวะที่ไม่สามารถนิยามหรือควบคุมได้ แนวคิดนี้ยังขยายไปสู่ “สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์” (Nonhuman) โดยไม่ได้มองสิ่งเหล่านี้เป็นเพียง “สิ่งของ” (Things) ที่สามารถถูกใช้หรือควบคุมได้ แต่เป็น แนวทางในการทำความเข้าใจการดำรงอยู่ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมและความรู้ของมนุษย์ การมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้ในสภาวะที่ “รู้ไม่ได้” หรือ “ปกครองไม่ได้” จึงเป็นการท้าทายอำนาจของความรู้เดิม 

2.เรื่อง “อากาศ สังคม และวิทยาศาสตร์: สามทศวรรษของการศึกษามิติทางสังคมของการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ” โดยอาจารย์ ดร. ชยา วรรธนะภูติ ศึกษาความเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ผ่านญาณวิทยาสถาบันต่าง ๆ แล้วชี้ให้เห็นว่ามีคำอธิบายแบ่งได้เป็น 3 ส่วน คือ ส่วนแรก การทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมิติที่กว้างกว่าเรื่องวิทยาศาสตร์ โดยเน้นการวิพากษ์แนวคิดแบบเดิมผ่านมุมมองทางสังคมและมนุษยวิทยา ด้วยการเริ่มต้นการวิพากษ์ว่าความรู้เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศที่ผ่านมา (ซึ่งส่วนใหญ่สร้างโดยวิทยาศาสตร์และสถาบันต่าง ๆ) ได้ลดทอนความซับซ้อนของอากาศให้กลายเป็นสิ่งที่สามารถจัดการและปกครองได้ โดยใช้แบบจำลองทางวิทยาศาสตร์และวาทกรรมเฉพาะทาง อากาศจึงไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่กลายเป็นสิ่งที่ถูกควบคุมโดยสถาบันเหล่านี้ ส่วนต่อมา 

แนวคิดนี้ท้าทายการมองมนุษย์เป็นเพียงผู้กระทำ (Agent) เพียงอย่างเดียว จึงมีการเสนอให้มองอากาศในฐานะ “ผู้กระทำ” ที่มีอำนาจในตัวเอง เช่น มรสุมไม่ได้เป็นแค่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่เป็น “โลกแห่งชีวิต” ที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกและการดำรงอยู่ของมนุษย์ แนวคิดนี้ชวนให้พิจารณาว่า มนุษย์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์อยู่ร่วมและปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ เช่น อากาศที่มีอำนาจของตัวเอง และส่วนสุดท้ายการเชื่อมโยงสภาพภูมิอากาศเข้ากับประเด็นทางสังคมและการเมือง โดยชี้ให้เห็นว่ายุค Anthropocene มีรากฐานมาจากการกดขี่ของระบบทุนนิยมอาณานิคมที่ใช้แรงงานทาสในการหาทรัพยากร ซึ่งแรงงานเหล่านี้ต้องเผชิญกับผลกระทบทางสภาพภูมิอากาศอย่างไม่เป็นธรรม ขณะเดียวกันก็ไม่ถูกนับรวมในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ยังนำเสนอแนวคิดที่ท้าทายการครอบครองของมนุษย์ โดยกล่าวว่ามนุษย์อยู่ใน “อธิปไตยของลมฟ้าอากาศ” ซึ่งหมายความว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นผู้ควบคุมสูงสุดในโลกอีกต่อไป แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ถูกกำหนดโดยอากาศ และอากาศถูกทำให้ “ไม่เป็นเจ้าของ” ซึ่งเป็นการทำลายแนวคิดการครอบครองตามแบบฉบับของทุนนิยม ดังนั้นกล่าวได้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิคที่แก้ไขด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เป็นประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจใหม่ในมิติของ ความรู้ที่ถูกสร้างโดยสถาบัน การดำรงอยู่ของธรรมชาติที่มีอำนาจในตัวเอง และความเป็นธรรมที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของการกดขี่และการถูกเบียดขับ

3. เรื่อง “ว่าด้วยการคิดเกี่ยวกับผืนโลก: สภาวะมนุษย์ การหักเหสู่สิ่งไม่ใช่มนุษย์ และการแปรร่างพรางรูป หลังมนุษยนิยม” โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เกษม เพ็ญภินันท์ บรรยายถึงเหตุผลที่ต้องหันมาสนใจแนวคิดเรื่อง Nonhuman มีจุดประสงค์หลักเพื่อท้าทายความเชื่อแบบมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เนื้อหากล่าวถึง การสลายตัวของ “มนุษย์ในฐานะประธาน” (Subject) โดยเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่า Who Comes After the Subject? ซึ่งเป็นการตั้งข้อสังเกตว่าแนวคิดเรื่อง “มนุษย์” ในฐานะประธานที่สมบูรณ์และเป็นสากลกำลังอับจนลงในยุคหลังสมัยใหม่ มนุษย์พยายาม “สร้างธรรมชาติ” ขึ้นเพื่อควบคุมและจัดการ ปัญหานี้มีทางออกคือให้ก้าวข้ามขอบเขตของมนุษย์ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นอธิปไตยเหนือรัฐชาติ หรือการแบ่งแยกวัฒนธรรมออกจากธรรมชาติ เพื่อทำความเข้าใจการอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตบนโลกในฐานะสิ่งที่มี “ความรับผิดชอบ” (response-ability) ต่อกัน ประการต่อมามีการกล่าวถึงการทำความเข้าใจโลกไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกรอบของโลกในฐานะ “บ้าน” หรือพื้นที่ที่เราครอบครอง (World) แต่เป็นการมองในระดับดาวเคราะห์ (Planet) ทั้งดิน น้ำ อากาศ และสรรพชีวิต มีความเชื่อมโยงถึงกัน (co-conception) และประการสุดท้ายเรื่องเทคโนโลยีอย่าง Cybernetics และ Informatics ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์อย่างแยกไม่ออก จนมีพลังในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความปกติวิสัยของมนุษย์ เทคโนโลยีจึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่เป็น “สายพันธุ์หนึ่ง” ที่ต้องพิจารณาในฐานะสิ่งที่มีบทบาทสำคัญในโลกใบนี้ร่วมกับมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อาจารย์เกษมขึ้นต้นและลงท้ายในการปาฐกด้วยประโยคที่ว่า “ผมเป็นเอเลียนสปีชีส์” 

ในฐานะนักประวัติศาสตร์ ประเด็นในการปาฐกถาเหล่านี้นับเป็นการเคลื่อนไหวทางความคิดเพื่อให้หันกลับมาทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาประวัติศาสตร์ ประเด็นแรกประวัติศาสตร์ที่หลุดพ้นจากมนุษย์เป็นศูนย์กลาง แนวคิดเรื่อง “พหุภาวะที่ปกครองไม่ได้” ชี้ให้เราเห็นว่ามีพลังและกระบวนการบางอย่างที่ดำรงอยู่นอกเหนือการควบคุมของอำนาจรัฐเสมอ ซึ่งนักประวัติศาสตร์ต้องหันไปสำรวจพื้นที่เหล่านี้ เช่น เครือข่ายที่ไม่เป็นทางการหรือการต่อต้านที่ไร้ตัวตน ประเด็นที่สองปาฐกถาเรื่องอากาศและสิ่งแวดล้อมชวนให้พิจารณาว่า อากาศ และ สิ่งแวดล้อม มีบทบาทในฐานะ “ผู้กระทำ” ที่มีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แนวคิด “อธิปไตยของลมฟ้าอากาศ” เสนอให้มองความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่เพียงแค่เป็นผลลัพธ์จากการกระทำของมนุษย์ แต่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์โลกที่มนุษย์ต้องเผชิญหน้าและปรับตัวด้วย สิ่งนี้เรียกร้องให้มีการเขียนประวัติศาสตร์มีการบูรณาการมิติทางวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อมเข้ากับมิติทางสังคมและการเมือง และประเด็นสุดท้ายการมองประวัติศาสตร์ตามแนวคิดแบบ Planetary Thinking ยิ่งตอกย้ำว่าต้องก้าวข้ามขอบเขตของรัฐชาติไปสู่การศึกษาประวัติศาสตร์ในระดับที่กว้างขึ้น คือระดับ “ดาวเคราะห์” และการยอมรับว่าเทคโนโลยีเป็น “สายพันธุ์หนึ่ง” และเราเป็นเพียง “สิ่งมีชีวิตที่ผูกติดอยู่กับผืนดิน” (earth-bounded being) เพื่อเปิดประตูให้นักประวัติศาสตร์ได้สำรวจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมในฐานะเครือข่ายที่ซับซ้อนและมีพลวัต 

มีคำถามที่ถูกจดไว้ 2 ข้อ หลังจากปาฐกถาจบลง ดังนี้

1. ประวัติศาสตร์ของเทคโนโลยีจะถูกนิยามใหม่เมื่อมองเทคโนโลยีในฐานะ “สายพันธุ์” หนึ่งหรือไม่ หรือวิธีการแบ่งเวลาของเทคโนโลยีมีจะพิจารณาอย่างไร?

2. ในสถานการณ์ของโลกปัจจุบันเต็มไปด้วยความขัดแย้ง สงคราม โลกร้อน อาชญากรรม และไม่เท่าเทียมเราจะสร้างแนวคิด “เวลาทางประวัติศาสตร์ร่วมกันใหม่” อย่างมีความหมายและเป็นธรรมได้ด้วยวิธีการใด อย่างไร?