Skip to main content

โดย จีฮาน เดือนเด่น 
(นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)


ข้าพเจ้าเกิดและเติบโตที่ทุ่งปากกราน ทางทิศใต้ของเกาะเมืองอยุธยา ในช่วงทศวรรษ 2540 บริเวณดังกล่าวประสบกับอุทกภัยอยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่เยาว์วัยข้าพเจ้าเฝ้ารอน้ำท่วม เพราะช่วงเวลาที่น้ำท่วมคือช่วงปิดเทอมเล็ก (เดือนตุลาคม) มีกิจกรรมมากมายให้ทำเพื่อแก้เบื่อในช่วงปิดเทอม ไม่ว่าจะเป็นการดำผุดดำไหว้ การแล่นเรือบังคับ การจับปลาด้วยสารพัดเครื่องมือ การพายเรือแข่งกับน้องชาย สำหรับข้าพเจ้าในตอนนั้น น้ำท่วมคือความสนุกสนาน แต่เมื่อเข้ามัธยม ข้าพเจ้าก็เริ่มเห็นมุมมองอื่น ๆ ของน้ำท่วม ในมหาอุทกภัยพ.ศ. 2554 น้ำได้หลากท่วมบ้านจนไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ข้าพเจ้าและครอบครัวต้องย้ายบ้านจากบริเวณทุ่งปากกรานไปอาศัยอยู่บริเวณนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ แต่ยังไม่วายที่น้ำยังจะตามมาท่วมนิคมอุตสาหกรรมโรจนะอีก อีกทั้งน้ำท่วมครั้งนั้นยังกินระยะเวลายาวนานกว่า 2 เดือน แม้ว่าจะเปิดเทอมสองแล้ว น้ำก็ยังไม่งวดลงไป ข้าพเจ้าต้องพายเรือไปเรียนอยู่เกือบเดือน หลังจากน้ำท่วมครั้งดังกล่าว กรมชลประทานได้สร้างประตูระบายน้ำจำนวนหลายบานเพื่อควบคุมปริมาณน้ำในทุ่งปากราน หลังจากนั้นเป็นต้นมา น้ำก็ไม่เคยท่วมทุ่งปากกรานอีกเลย [1]

ผ่านไปเกือบ 15 ปี ความทรงจำเกี่ยวกับน้ำท่วมของข้าพเจ้าจางหายไปพร้อม ๆ กับร่องรอยของน้ำท่วมในครั้งนั้น จนกระทั้งความทรงจำดังกล่าวได้ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้มีโอกาสฟังกลุ่มอภิปราย “อุทกภัยในลุ่มเจ้าพระยา: ความผันผวนไม่แน่นอนของผู้คน สายน้ำ และวัตถุ” งานมานุษยวิทยา 68 กลุ่มอภิปรายดังกล่าวประกอบไปด้วยอาจารย์ ดร. คมลักษณ์ ไชยยะ, อาทิตย์ ภูบุญคง, นาวิน โสภาภูมิ และเฉลิมชัย วัดจัง เป็นผู้ดำเนินรายการ พวกเขาได้พาไปสำรวจอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและความสัมพันธ์ระหว่างคนกับน้ำในพื้นที่บางบาล อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เริ่มต้นด้วยอาจารย์ ดร. คมลักษณ์ อธิบายให้เห็นว่าน้ำ คลอง และแม่น้ำ คือโครงสร้างพื้นฐาน [3] ในสังคมลุ่มน้ำเจ้าพระยา ดังนั้นน้ำท่วมในฤดูน้ำหลากจึงเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมแห่งนี้มาอย่างช้านาน แต่เมื่อมีการสร้างถนนและสาธารณูปโภคต่าง ๆ บนพื้นดิน ได้ย้ายวิถีชีวิตของผู้คนมาสู่บนบกมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้เปลี่ยนถ่ายการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานทางน้ำ (Aquatic infrastructure) มาสู่การพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานบนที่แห้ง (Terrestrial infrastructure) น้ำท่วมจึงเป็นปัญหาที่รบกวนโครงสร้างพื้นฐานบนที่แห้ง อีกทั้งน้ำท่วมสร้างความเสียหายในทางเศรษฐกิจอีกด้วย ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาปัญหาน้ำท่วมทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางชลศาสตร์ได้แก่ เขื่อน ประตูระบายน้ำ คันดิน เพื่อควบคุมการไหลของน้ำ และป้องกันน้ำล้นตลิ่งท่วมพื้นที่ต่างๆ

อย่างไรก็ดีโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ไม่อาจควบคุมสายน้ำได้ดั่งใจหวัง เพราะมีปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการไหลของน้ำ เช่น การหายไปของพื้นที่ชุ่มน้ำ การขยายตัวของเมืองและพื้นที่อุตสาหกรรม ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้การไหลของน้ำเกิดความผันผวน และยากต่อการคาดเดา ในตอนท้ายอาจารย์ ดร.คมลักษณ์จึงได้ยกคำของเจมส์ สก็อต (James C. scott) ที่ว่า “no flood no river” เพื่อชวนให้เรากลับมาทำความเข้าใจภววิทยาของน้ำท่วมในฐานะส่วนหนึ่งของระบบความสัมพันธ์ระหว่างคนและสรรพสิ่งในลุ่มน้ำเจ้าพระยา 

ลำดับต่อมาอาทิตย์ ภูบุญคงได้พาไปสำรวจทุ่งบางบาลในยุคสมัยของทุน (Capitalocene) [4] หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ พ.ศ. 2554 โครงการควบคุมและจัดการน้ำจำนวนมากได้ถูกตั้งขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วมอีกครั้ง และในอยุธยาได้มีการกำหนดแนวทางในการควบคุมน้ำใหม่ โดยบ่งออกเป็น 3 แนวทางคือ ป้องออก พักตกและระบายใต้ โดยป้องออกคือ การป้องกันไม่ให้น้ำท่วมพื้นที่อุตสาหกรรมทางด้านทิศตะวันออกของจังหวัด เช่น นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ฯลฯ ส่วนพักตกคือ การกำหนดพื้นที่ทางฝั่งตะวันตกของจังหวัดอยุธยา เป็นแก้มลิงหรือพื้นที่รับน้ำจำนวน 7 แห่ง หนึ่งในนั้นคือ ทุ่งบางบาล และสุดท้ายระบายใต้ คือ การสร้างคลองระบายน้ำเพื่อผันน้ำออกไปทางทิศใต้ของจังหวัด อาทิตย์ได้แสดงให้เห็นว่าแนวทางจัดการน้ำดังกล่าวได้เปลี่ยนพื้นที่และรูปแบบชีวิตในทุ่งบางบาล เริ่มต้นจากการเปลี่ยนปฏิทินการทำนา เร่งการเก็บเกี่ยวก่อนฤดูน้ำหลาก เพื่อให้ท้องนาพร้อมสำหรับรับน้ำในฤดูน้ำหลาก การเปลี่ยนระบบชลประทานจากโครงสร้างพื้นฐานที่ทำหน้าที่จัดสรรน้ำเพื่อการเกษตรมาสู่โครงสร้างพื้นฐานที่ทำหน้าที่ระบายน้ำหลากเข้านา มีการเปลี่ยนภูมิทัศน์ เช่น การยกระดับถนนให้สูงขึ้นเพื่อเป็นแนวคันกั้นน้ำ และสุดท้าย การเปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำให้เข้ามาสู่พื้นที่ฝั่งตะวันตกของจังหวัดมากขึ้น (ดูรูปภาพ)  

  

ภาพ: อธิบายการปรับเปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำ โดยอาทิตย์ ภูบุญคง

 

ทั้งหมดทั้งมวลของการควบคุม จัดการ และเปลี่ยนแปลงทุ่งบางบาลให้กลายเป็นพื้นที่รับน้ำ ล้วนเป็นไปเพื่อป้องกันไม่ให้พื้นที่เศรษฐกิจของจังหวัดต้องประสบปัญหาน้ำท่วม ทุนนิยมจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังนโยบายการจัดการน้ำดังกล่าว อาจกล่าวได้ว่าทุนได้เปลี่ยนแปลงพื้นที่และรูปแบบชีวิตในทุ่งบางบาล นอกจากนี้การจัดการน้ำดังกล่าวได้สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านในพื้นที่ทุ่งบางบาลอีกด้วย   

ลำดับสุดท้ายนาวิน โสภาภูมิ ได้นำเสนอชีวิตบนความไม่แน่นอนของชาวบ้านในทุ่งบางบาล นาวินได้แสดงให้เห็นว่าน้ำท่วมไม่ใช่แค่ภัยธรรมชาติ แต่คือวัฒนธรรมภัยพิบัติ คือกระบวนการที่ผลิตซ้ำความไม่แน่นอนผ่านโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง ชาวบ้านในบางบาลต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในหลายประเด็น ตั้งแต่ไม่สามารถรับรู้กำหนดเวลาที่แน่นอนในการผันน้ำได้ ระยะเวลาที่ต้องอยู่กับน้ำท่วม และไม่รู้ว่าระดับน้ำจะเพิ่มสูงถึงเพียงไหน ความไม่แน่นอนนี้ได้กระทบชีวิตในหลายมิติทั้งในด้านวิถีชีวิตและรายได้ ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงรวมตัวกันเปลี่ยนจากผู้ได้รับผลกระทบเป็นผู้กระทำการ ดำเนินการร้องเรียนไปยังหน่วยงานรัฐ และผู้แทนราษฎร รวมไปถึงสะท้อนปัญหาผ่านทางโซเชียลมีเดีย ในตอนท้ายนาวินได้เสนอแนะว่า รัฐควรมีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลการจัดการน้ำ และรับผิดชอบผลกระทบที่เกิดขึ้นจากน้ำท่วมและที่สำคัญที่สุดคือ การเปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านและชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการน้ำ

จากที่กล่าวมาทั้งหมด เนื้อหาในกลุ่มอภิปรายนี้ได้ชวนให้นึกถึงประเด็นความไม่เป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม (Environmental injustice) ท่ามกลางโลกที่เจริญขึ้นด้วยเทคโนโลยีและทุนนิยม มีคนกลุ่มหนึ่งร่ำรวยขึ้นจากการถลุงทรัพยากร แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งต้องแบกรับภาระและความเสี่ยงจากคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรม [5] และถูกกีดกันออกจากการจัดสรรทรัพยากร เฉกเช่นเดียวกับชาวบ้านในทุ่งบางบาล พวกเขาไม่มีส่วนรวมในการควบคุมและจัดการน้ำ แต่ต้องเป็นผู้ทนทุกข์กับนโยบายการจัดการน้ำดังกล่าว เพียงเพื่อให้พื้นที่อุตสาหกรรมอีกฟากหนึ่งของจังหวัดปลอดภัย

นอกจากประเด็นความไม่เป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมแล้วนั้น ในฐานะนักเรียนประวัติศาสตร์ ข้าพเจ้าสนใจการเปลี่ยนผ่านระหว่างโครงสร้างพื้นฐานทางน้ำมาสู่โครงสร้างพื้นฐานบนที่แห้ง การเปลี่ยนผ่านระบบความสัมพันธ์เดิมมาสู่รูปแบบความสัมพันธ์ใหม่น่าจะไม่ราบรื่นและติดขัด การติดขัดและความไม่ราบรื่นชวนให้นึกถึงปัญหาที่วิศวกรต้องเผชิญในรายงานการสร้างทางรถไฟสายเหนือ ช่วงปากน้ำโพถึงพิษณุโลก พ.ศ. 2445 -2450 ในรายงานดังกล่าววิศวกรได้กล่าวถึง ปัญหาน้ำหลากไหลท่วมทางรถไฟ เนื่องจากพื้นที่บริเวณสถานีปากน้ำโพเป็นพื้นที่ลาดที่มีน้ำเหนือไหลมาท่วมในบางฤดู วิศวกรจึงแก้ปัญหาด้วยการพูนดินยกทางรถไฟขึ้นสูงถึง 2-3 เมตร บางช่วงที่เป็นที่ราบลุ่มต้องพูนดินสูงถึง 6 เมตร โดยดินดังกล่าวต้องเป็นดินแข็ง นำจากพื้นที่ตอนใต้ของปากน้ำโพ แต่ถึงจะมีการพูนดินจนสูง น้ำเหนือก็ยังหลากขึ้นเกือบเสมอทางได้ ส่งผลให้ทางรถไฟพังลงอยู่บ่อยครั้ง นอกจากนี้ยังต้องมีการสร้างสะพานเป็นระยะเพื่อให้น้ำสามารถระบายลอดผ่านทางรถไฟไปสู่ที่ลุ่มอีกฝั่งได้ และต้องเป็นสะพานเหล็กที่สร้างจากเหล็กที่นำเข้าจากเยอรมัน เพราะสามารถทนต่อแรงกัดเซาะของน้ำได้ รวมไปถึงใช้ไม้เต็งรังจากป่าทางตอนใต้ของปากน้ำโพมาเป็นหมอนรองราง (railroad sleeper) ส่วนหินโรยทาง (track ballast) ย่อยมาจากเขาหินทางตอนใต้ของปากน้ำโพเช่นกัน บางส่วนก็นำมาจากพิจิตร

ปัญหาดังกล่าวทำให้การสร้างทางรถไฟสายปากน้ำโพถึงพิษณุโลกมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยกิโลเมตรล่ะ 76,000 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่สูงที่สุดของการสร้างรางรถไฟทุกสายในขณะนั้น และแม้ว่าจะเผชิญปัญหามากมาย แต่วิศวกรก็เชื่อทางรถไฟที่จะสร้างขึ้นนี้จะบำรุงให้เกิดผลประโยชน์ให้เกิดแก่อาณาประชาราษฎร ที่ดินรกร้างบริเวณรอบ ๆ เส้นทางรถไฟจะกลายเป็นพื้นที่เพาะปลูกสร้างรายได้ และเส้นทางรถไฟจะมอบความสะดวกให้แก่ประชาชน พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้มีพระราชดำรัสตอบกลับรายงานดังกล่าวว่า การสร้างทางรถไฟจะชักนำให้เกิดความเจริญในประเทศ รถไฟจะทำให้ประชาชนริมทางรถไฟติดต่อไปมาหากันได้อย่างรวดเร็ว อันจะส่งผลให้ที่ดินและสิ่งที่เกิดจากแผ่นดินมีราคายิ่งขึ้น อีกทั้งในด้านการปกครอง รางรถไฟยังอำนวยความสะดวกในการตรวจราชการต่าง ๆ ดังนั้น รถไฟไม่ว่าจะมีไปทางใด ก็ย่อมนำพาความเจริญและย่อมเกื้อกูลให้คนทั้งปวงมีความรู้สึกรักชาติของตนมากยิ่งขึ้น [6]

จากรายงานดังกล่าวได้แสดงให้เห็นความไม่ราบรื่นของการสร้างทางรถไฟสายเหนือ ช่วงปากน้ำโพถึงพิษณุโลก โดยมีอุปสรรคสำคัญคือ น้ำหลากที่คอยกัดเซาะและทลายรางรถไฟอยู่เนือง ๆ เพื่อเอาชนะอุปสรรคดังกล่าว ดินแข็งจากทางตอนใต้ปากน้ำโพจึงถูกนำมาถมพื้นราง เหล็กกล้าจากเยอรมันถูกนำมาสร้างสะพานที่คงทนต่อการกัดเซาะของน้ำ ไม้เต็งรังและหินจากตอนใต้ของปากน้ำโพถูกนำมาแปรรูปเป็นหมอนรองรางและหินโรยทาง ดังนั้นอุปสรรคอย่างน้ำท่วมได้นำพาให้สรรพสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นดินแข็ง ไม้เต็งรัง เหล็กจากเยอรมัน มาประกอบรวมกันเป็นรางรถไฟสายเหนือ ช่วงปากน้ำโพถึงพิษณุโลก รางรถไฟนี้จึงเป็นลูกผสมระหว่างเทคโนโลยีจากโลกตะวันตกได้แก่ รางรถไฟ รถไฟ และเหล็กจากเยอรมัน กับสรรพสิ่งในท้องถิ่นได้แก่ ดินแข็ง ไม้เต็งรัง และศิลาจากตอนใต้ของปากน้ำโพ ลักษณะของรางรถไฟนี้มีความคล้ายคลึงกับเขื่อนเจ้าพระยาตามที่จักรกริช สังขมณีได้เสนอไว้ในบทความ “ชีวิตทางสังคมของเทคโนโลยีที่เคลื่อนย้าย: เขื่อนเจ้าพระยาในฐานะวัตถุเชิงขอบเขต'" ว่า เทคโนโลยีไม่สามารถเคลื่อนย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยไม่เปลี่ยนแปลง หากแต่การประกอบสร้างและการเดินทางของมันนั้น เป็นไปท่ามกลางสังคมที่วุ่นวาย หลากหลายสภาวะ ดังเช่นเขื่อนเจ้าพระยาที่เกิดขึ้นจากการระดมทรัพยากร การต่อรองรูปแบบ การปรับเปลี่ยนผู้กระทำ และการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ แรงงาน และวัตถุต่าง ๆ เข้าด้วยกัน [7]

นอกจากนี้เป้าหมายในการสร้างทางรถไฟยังเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากพระราชดำรัสตอบกลับของรัชกาลที่ 5 ที่กล่าวไปตอนต้น การสร้างทรางรถไฟจึงเป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างความศิวิไลซ์ของชนชั้นนำ “ผู้สร้าง” คาดหวังให้รางรถไฟนี้เชื่อมต่อราษฎรเข้าด้วยกัน ให้พื้นดินรกร้างถูกถางเพื่อใช้ประโยชน์ กระตุ้นให้เกิดการผลิตทางเศรษฐกิจ อำนวยความสะดวกแก่การปกครอง และท้ายที่สุดคือสร้างความรู้สึกรักชาติให้เกิดขึ้นในหมู่อาณาประชาราษฎร ดังนั้นรางรถไฟสายเหนือ ช่วงปากน้ำโพถึงพิษณุโลกจึงเป็นลูกผสมทั้งสองทาง ในทางกายภาพรางรถไฟนี้คือลูกผสมเทคโนโลยีจากโลกตะวันตก กับสรรพสิ่งในท้องถิ่น ในทางนามธรรมรางรถไฟแห่งนี้คือลูกผสมระหว่างความศิวิไลซ์จากตะวันตกกับเป้าประสงค์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของชนชั้นนำของสยาม

โดยสรุป การได้รับฟังเรื่องของผู้คน สายน้ำ และวัตถุ ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้ทำให้ข้าพเจ้าหวนระลึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับน้ำท่วมในอดีต นอกจากนี้ประเด็นที่ได้รับฟังในกลุ่มอภิปรายนี้ยังกระตุ้นต่อมความสงสัยในตัวข้าพเจ้าให้ค้นหาร่องรอยการเปลี่ยนระหว่างโครงสร้างพื้นฐานทางน้ำมาสู่โครงสร้างพื้นฐานบนที่แห้ง นำไปสู่การกลับไปอ่านหลักฐานทางประวัติศาสตร์ด้วยมุมมองใหม่ที่ไม่ได้ยึดติดแค่เพียงมนุษย์ แต่มุ่งหาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และ “สิ่ง” อื่นๆ ที่แฝงฝังอยู่ในหลักฐาน มุมมองดังกล่าวได้ทำให้ข้าพเจ้าเห็นความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้คน สายน้ำ รางรถไฟ และสรรพสิ่ง สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าหวังว่าบทความชิ้นนี้จะยังประโยชน์ให้ผู้อ่านเกิดความสนใจเรื่องราวของสรรพสิ่งที่หลบเร้นอยู่ในเรื่องเล่าของอดีต เหมือนดังเช่นที่กลุ่มอภิปรายอุทกภัยในลุ่มเจ้าพระยา: ความผันผวนไม่แน่นอนของผู้คน สายน้ำ และวัตถุ ได้จุดประกายไฟแห่งความสงสัยแก่ข้าพเจ้า

 

เชิงอรรถ

[1] น้ำยังคงท่วมทุ่งนาที่ถูดจัดเตรียมไว้เพื่อรับน้ำ แต่น้ำไม่เคยเอ่อล้นตลิ่งมาท่วมบริเวณชุมชนอีกเลย 

[2] โครงสร้างพื้นฐานในที่นี้ไม่ได้หมายถึงสิ่งก่อสร้างใหญ่โต แต่คือระบบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสรรพสิ่ง แนวคิดดังกล่าวถูกเสนอโดย ซูซาน ลีห์ สตาร์ (Susan Leigh Star) โดยเป็นแนวคิดที่ชวนให้กลับไปศึกษาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ อยู่ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เช่น ระบบอินเทอร์เน็ต ระบบไฟฟ้า น้ำประปา และสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในฐานะที่เป็นความสัมพันธ์ที่มีพลวัตแบบหนึ่ง ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์ วัตถุ และสรรพสิ่ง ดูเพิ่มเติม จักรกริช สังขมณี, “ชาติพันธุ์วรรณนาว่าด้วยโครงสร้างพื้นฐาน”. Thammasat Journal 36, no.2 (February 2, 2018): 33–57, accessed August 1, 2025, https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tujo/article/view/110925 

[3] แนวคิดยุคสมัยของทุน (Capitalocene) คือแนวคิดที่มองว่า ทุนนิยมคือระบบนิเวศทางสังคมแบบหนึ่ง ที่ครอบคลุมไปทั่วทั้งโลก ทุนนิยมได้เข้ามาควบคุม และแปลงแรงงานของมนุษย์ไปจนถึงสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ให้กลายเป็นมูลค่า เพื่อสะสมความมั่งคั่ง ดังนั้นทุนนิยมจึงเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เราต้องเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ดูเพิ่มเติม เก่งกิจ กิติเรียงภาภ, “ยุคสมัยแห่งทุน: ข้อถกเถียงว่าด้วยมนุษยสมัยในโลกวิชาการมาร์กซิสต์,” ใน Anthropocene: บทวิพากษ์มนุษย์ และวิกฤตสิ่งแวดล้อมในยุคสมัยแห่งทุน, เก่งกิจ กิติเรียงลาภ (บ.ก.), (กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร (องค์การมหาชน, 2564), น.111-146.

[4] คนางค์ คันธมธุรพจน์, “ความไม่เป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม,” วารสารความเป็นธรรมทางสังคมและความเหลื่อมล้ำ 1, ฉ.3 (2563): 4 สืบค้นเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2025, https://so04.tci-thaijo.org/index.php/sjij/article/view/264873  

[5] ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงพระศพ หม่อมเจ้าเสริมสวาสดิ์ กฤดากร ณ สุสานหลวงวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2484, เรื่องการรถไฟไทย, (ม.ป.ท.:โรงพิมพ์กรมรถไฟ, 2484), น. 138-155, สืบค้นเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2025, https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:137137  

[6] จักรกริช สังขมณี, “ชีวิตทางสังคมของเทคโนโลยีที่เคลื่อนย้าย: เขื่อนเจ้าพระยาในฐานะวัตถุเชิงขอบเขต,” ใน ชีวิตทางสังคมในการเคลื่อนย้าย (Social Life on the Move), บรรณาธิการโดย ประเสริฐ แรงกล้า (ปทุมธานี: คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2561), น.342-344.

 

อ้างอิง 

เก่งกิจ กิติเรียงภาภ. “ยุคสมัยแห่งทุน: ข้อถกเถียงว่าด้วยมนุษยสมัยในโลกวิชาการมาร์กซิสต์.” ใน Anthropocene: บทวิพากษ์มนุษย์ และวิกฤตสิ่งแวดล้อมในยุคสมัยแห่งทุน, เก่งกิจ กิติเรียงลาภ (บ.ก.), น. 111-146. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิริธร (องค์การมหาชน), 2564. 

คนางค์ คันธมธุรพจน์. “ความไม่เป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม.” วารสารความเป็นธรรมทางสังคมและความเหลื่อมล้ำ 1, ฉ.3 (2563). น. 1- 15. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2025, https://so04.tci-thaijo.org/index.php/sjij/article/view/264873 

คมลักษณ์ ไชยยะ. “ภววิทยาของโครงสร้างพื้นฐานแก้มลิงบางบาล”. วารสารพัฒนศาสตร์ วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 7 (1 มกราคม – มิถุนายน 2024). น. 101-28. สืบค้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2025. https://so05.tci-thaijo.org/index.php/gvc-tu/article/view/269443 

จักรกริช สังขมณี. “ชีวิตทางสังคมของเทคโนโลยีที่เคลื่อนย้าย: เขื่อนเจ้าพระยาในฐานะวัตถุเชิงขอบเขต.” ใน ชีวิตทางสังคมในการเคลื่อนย้าย (Social Life on the Move). บรรณาธิการโดย ประเสริฐ แรงกล้า, น.314-348. ปทุมธานี: คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2561. 

จักรกริช สังขมณี. “ชาติพันธุ์วรรณนาว่าด้วยโครงสร้างพื้นฐาน”. Thammasat Journal 36, no. 2 (February 2, 2018). pp. 33–57. accessed August 1, 2025. https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tujo/article/view/110925 ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงพระศพ หม่อมเจ้าเสริมสวาสดิ์ กฤดากร ณ สุสานหลวงวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2484. เรื่องการรถไฟไทย. ม.ป.ท.:โรงพิมพ์กรมรถไฟ, 2484. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2025.https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:137137 

อาทิตย์ ภูบุญคง. “ยุคสมัยแห่งทุน ณ บางบาล: ภาพสะท้อนการจัดการน้ำ ในเขตลุ่มน้ำภาคกลางตอนล่าง.” วารสารมานุษยวิทยา 8, no. 1 (พฤษภาคม 6, 2025). น.173-216. สืบค้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2025. https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jasac/article/view/281145