“…ร้าง (ว.) ที่ถูกทอดทิ้ง เช่น พ่อร้าง แม่ร้าง, ว่างเปล่า, ปราศจากผู้คน, เช่น บ้านร้าง เมืองร้าง… [1]
โดย ชิษณุพงศ์ รุจิโรจน์วรางกูร
นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ข้อเขียนขนาดสั้นชิ้นนี้เกือบจะร้างลง เนื่องจากถูกทอดทิ้งมาเป็นระยะเวลาหนึ่งหลังจากการประชุมวิชาการมานุษยวิทยา 68 ของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ที่จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 7-9 กรกฎาคม 2568 แต่คำถามของผู้เขียนที่มีต่อเหตุและผลของการทอดทิ้ง และความเกี่ยวเนื่องกับมนุษย์ (ในฐานะผู้ตัดสินใจทอดทิ้ง) กลับชวนให้นึกย้อนไปถึงวงอภิปรายในการประชุม หัวข้อ “บ้านร้าง วัตถุพยาน และสื่อศิลปะ” โดยภัทรภร ภู่ทอง, วลัย บุปผา และแพร ศิริศักดิ์ดำเกิง ที่ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมและสรุปประเด็นบางส่วนจากการอภิปราย พร้อมกับชวนให้ผู้ที่ผ่านเข้ามาอ่านข้อเขียนชิ้นนี้ เกิดมุมมองและทำความเข้าใจบ้านที่ปราศจากผู้คน และถูกทอดทิ้งนี้ให้แตกต่างไปจากเดิมได้อย่างไร ก่อนจะปิดท้ายด้วยข้อความจาก “บ้านร้าง” ถึง “วัดร้าง” ซึ่งเป็นประเด็นนำเสนอของผู้เขียนในการประชุมครั้งดังกล่าวนี้เช่นกัน
บ้านร้าง: พื้นที่/วัตถุจากความทรงจำและประสบการณ์
บ้านร้าง: พื้นที่/วัตถุจากความทรงจำและประสบการณ์

การอภิปราย หัวข้อ “บ้านร้าง วัตถุพยาน และสื่อศิลปะ” การประชุมวิชาการมานุษยวิทยา 68 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ณ ห้อง 402 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
“บ้านร้าง” ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) [2] กับประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีน่า [3] เป็นประเด็นที่ผู้อภิปรายชวนให้ผู้ฟังตั้งข้อสังเกตถึงบ้านทั้ง 2 ภูมิภาคที่ถูกทอดทิ้งจากเหตุการณ์ความขัดแย้ง ความรุนแรง และสงครามในฐานะผู้กระทำการ (agency) บอกเล่าตัวตน ความทรงจำ และประสบการณ์ของมนุษย์
“…การโยกย้ายถิ่นฐานของบางพื้นที่ ของคนบางชุมชนไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่าย ย้ายออกไปทั้งครอบครัว พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ลูกเล็กเด็กแดง หมาแมวสัตว์เลี้ยงก็ไปด้วย...” ภัทรภร ภู่ทอง เริ่มต้นอธิบายถึงความยุ่งยากที่ต้องย้ายออกจากบ้านอันเป็นถิ่นฐานเดิมของตนเอง ในขณะที่บ้านอาจเป็นพื้นที่แห่งความสุข ความทรงจำอันสวยงามและปลอดภัยของสมาชิกในครอบครัว แสดงถึงการเก็บหอมรอมริบเงินทองจนสามารถซื้อทรัพย์สินก้อนโตในชีวิต หรือเป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนาการวัยเด็กที่ฝึกหัดคลาน เดิน และกินเป็นครั้งแรก แต่ในทางตรงกันข้าม บ้านกลับเป็นหลักฐานแห่งความทรงจำและประสบการณ์ที่โหดร้ายต่อสมาชิกในครอบครัวที่ต่างเผชิญในช่วงเวลาที่ผ่านมาและยังคงติดตัวต่อไปในอนาคต ผู้อภิปรายได้ยกตัวอย่างบ้านหลังหนึ่งที่เคยเกิดเหตุการณ์กราดยิง ดังพบร่องรอยกระสุนหลายตำแหน่งบริเวณผนังบ้าน ส่งผลให้บ้านหลังนี้ถูกสอดส่องและตรวจค้นทั้งในเวลาเช้า กลางวัน และกลางคืน อีกทั้งยังเพิ่มความเข้มงวดของมาตรการตรวจตราในพื้นที่จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จนคนในบ้านเกิดความคับข้องใจ ความหวาดกลัว และความระแวง รวมไปถึงเพื่อนบ้านที่ต่างตั้งคำถามและข้อสงสัยต่อแรงจูงใจที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวในบ้านหลังนี้ แม้ว่าเดิมจะเคยคุ้นหน้าคุ้นตากันมาก่อนก็ตาม ความรู้สึกและความสัมพันธ์ของคนในละแวกบ้านและชุมชนต่างก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย หรือในอีกกรณีหนึ่ง ย่านธุรกิจกลางเมืองที่เคยคึกคัก เมื่อเกิดเหตุระเบิดและความไม่สงบ คนรุ่นลูกหลานต่างย้ายออกไปทำงานและอาศัยอยู่ที่อื่น คงเหลือแต่เพียงผู้สูงอายุ บ้านเรือนเหล่านี้ก็ได้แต่รอวันที่จะร้างลง ท้ายที่สุดชุมชนและเมืองที่เคยเต็มไปด้วยผู้คน กลับเปลี่ยนแปลงไปสู่ความว่างเปล่า อันเป็นผลลัพธ์จากเหตุการณ์ความรุนแรงและความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
แม้ว่าการย้ายถิ่นฐานจะไม่ใช่เรื่องง่ายดังที่ผู้อภิปรายกล่าวไว้ แต่ท่ามกลางความรุนแรง การทิ้งร้างบ้านเดิม ทั้งในลักษณะที่ยังคงเหลือความสัมพันธ์ หรือการถอนรากถอนโคนไปจนหมดสิ้น ล้วนเป็นทางเลือกที่จำเป็นต้องทำในสภาวะดังกล่าว ปฏิเสธไม่ได้ว่า แนวโน้มการย้ายบ้านออกไปจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและสัมพันธ์กับเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นมากว่า 2 ทศวรรษ เช่นเดียวกับบ้านร้างในเมืองซาราเยโว (Sarajevo) จากเหตุสงครามกลางเมือง ทำให้ประสบการณ์ วิถีชีวิต ความทรงจำของผู้คนและพื้นที่ที่ส่งทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นสูญหายไป จนแทบไม่เหลือเค้าโครงแบบเดิม นอกจากบ้านร้างแล้วนั้น วัตถุพยานอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงนก รูกระสุนบนหลังคากระเบื้อง ชานบ้าน เสื้อสีเทา รอยงัดประตู ข้าวในทุ่งนา สถานีตำรวจภูธรตากใบ สนามเด็กเล่น ฯลฯ ดังที่วลัย บุปผา กล่าวถึงในตัวอย่างภาพยนตร์ที่กำลังจะเผยแพร่ ต่างก็เป็นหลักฐานที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวความทรงจำ (ทั้งที่อยากจำและไม่อยากจำ) ได้เช่นกัน อีกทั้งทำหน้าที่เยียวยาประสบการณ์โหดร้ายที่เกิดขึ้น และเปลี่ยนเป็นพลังต่อสู้ให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ตากใบ พ.ศ. 2547 แม้ว่าวัตถุพยานเหล่านี้บ่อยครั้งจะถูกบังคับให้ลบเลือนไปก็ตาม แต่ยังคงทิ้งร่องรอยเป็นหลักฐานแสดงถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นจริงในพื้นที่
ช่วงท้ายของการอภิปราย แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง ได้กล่าวสรุปถึงวิธีวิทยาและผลจากการศึกษาพื้นที่/วัตถุที่แสดงถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัตถุพยาน ประสบการณ์ ผู้คน และเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นว่า “…การเล่าเรื่องโดยคนที่ยังมีชีวิตอยู่และสัมพันธ์กับความรุนแรง มีอันตรายกับตัวเขา เราจึงนําพาวัตถุ บ้านร้าง มาเล่าเรื่องแทนเขา…ทำให้คนที่ได้รับผลกระทบจากตากใบกล้าเล่าเรื่องความทรงจำเจ็บปวด และกล้าลุกขึ้นมาต่อสู้เรื่องตากใบอีกครั้งหนึ่ง เพราะสิ่งที่เล่าไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา แต่อยู่ที่วัตถุพยาน แล้วเขารู้สึกว่ามันปลอดภัยกว่าที่จะเล่าเรื่องผ่านวัตถุพยานและความทรงจำเหล่านั้น ความทรงจำเจ็บปวดจึงเผยตัวมันผ่านวัตถุพยานนั้น…” แม้ว่าพื้นที่/วัตถุจะสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างหลากหลายและไม่จำกัด แต่ก็น่าสนใจว่า มนุษย์ที่ล้วนมีความแตกต่างกันตามภูมิหลัง จะเข้าใจเรื่องเล่าและครุ่นคิดกับวัตถุพยานเหล่านี้กันอย่างไร?
**ผู้สนใจสามารถชมวิดีโอบันทึกการอภิปราย หัวข้อ “บ้านร้าง วัตถุพยาน และสื่อศิลปะ” ฉบับเต็ม ได้ที่ EP.4 | 7C02 - ประชุมวิชาการมานุษยวิทยา 68 หัวข้อ พหุปฏิสัมพันธ์ มนุษย์กับสิ่งไม่ใช่มนุษย์ Interactive Pluralism: Human-Nonhuman https://shorturl.asia/PJE91
จาก “บ้านร้าง” ถึง “วัดร้าง”

วัดเชษฐา (ร้าง): วัดร้างกลางเมืองเชียงใหม่
โลกแห่งความเป็นจริงนั้น มนุษย์ไม่ได้มีอิสระมากพอที่จะพูดความคิดของตนเองได้ตามความต้องการ หรือบอกเล่าเรื่องทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยไม่ถูกปิดกั้น เนื่องจากมักถูกจำกัดด้วยปัจจัยต่าง ๆ อาทิ สังคม วัฒนธรรม กฎหมาย หรือแม้กระทั่งความรู้สึก โดยเฉพาะความกลัวต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้พูด เช่น ความเข้าใจผิด การถูกวิพากษ์วิจารณ์และลงโทษจากสังคม ความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของตนเองและผู้อื่น รวมไปถึงบทลงโทษทางกฎหมาย ในกรณีที่เรื่องเล่าละเมิดหรือกระทบกับบุคคลหรือหน่วยงานใด ๆ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความรุนแรง ความขัดแย้ง และสงครามที่ผู้อภิปรายได้นำเสนอไว้ ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับอำนาจและความมั่นคงของรัฐอย่างไม่ต้องสงสัย การเล่าเรื่องผ่านพื้นที่/วัตถุโดยใช้บ้านร้าง จึงอาจเป็นหนึ่งในทางเลือกที่จะสื่อสารเรื่องราวเหล่านี้ผ่านตัวกลางสู่สาธารณะ ซึ่งสนับสนุนให้เรื่องเล่ามีมิติและความชัดเจนมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สามารถมองเห็นได้ นำไปสู่ปลายทางความสำเร็จที่ต้องการให้เรื่องเล่าทำงานอย่างไรกับผู้คน หน่วยงาน และสังคม
แนวทางการเล่าเรื่องผ่านพื้นที่/วัตถุได้มีส่วนช่วยเสริมสร้างและเปิดมุมมองให้กับผู้เขียนต่อ “วัดร้าง” หากพิจารณาอย่างผิวเผิน วัดที่ร้างลงและไม่มีพระภิกษุอยู่อาศัยนั้น อาจมีเหตุมาจากความชำรุดทรุดโทรมของอาคารสถานที่ที่ผ่านระยะเวลายาวนานมากกว่าหลายร้อยปี หรือการไม่ใช้งานพื้นที่วัดแล้ว เนื่องด้วยเหตุจำเป็นบางประการ อาทิ ไฟไหม้ น้ำท่วม พระภิกษุมรณภาพหรือย้ายออกไปจากวัดเดิม ผู้เขียนได้พยายามนำพื้นที่/วัตถุที่ถูกทอดทิ้งอย่างวัดร้าง มาเล่าเรื่องให้เห็นถึงอำนาจของหน่วยงานรัฐที่ซ้อนทับลงไปบนวัดร้างอย่างมีนัยสำคัญ ผ่านการครอบครองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ การบริหารจัดการพื้นที่ตามภาระหน้าที่ และการใช้ประโยชน์ในรูปแบบทรัพยากร โดยอาศัยเครื่องมือทางกฎหมายเป็นพื้นฐานการแสดงอำนาจอย่างมั่นคงและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งพื้นที่/วัตถุกลับถูกนิยามและสร้างขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของตัวมันเองได้เช่นเดียวกัน การกำหนดให้วัดใดเป็นวัดร้างนั้น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุว่าต้องใช้ พยานเอกสาร (ระวางที่ดินและเอกสารสิทธิแสดงที่ดินวัดร้าง) พยานวัตถุ (ร่องรอยซากสิ่งก่อสร้างและโบราณวัตถุ) และ พยานบุคคล (คำบอกเล่าจากผู้คนที่ทราบประวัติความเป็นมาของวัดร้าง) ให้ครบถ้วนเพื่อยืนยันการขึ้นทะเบียนวัดร้าง [4] การสำรวจจำนวนวัดร้างในประเทศไทยล่าสุด พ.ศ. 2567 มี 5,680 วัด ซึ่งเพิ่มขึ้นมาจากพ.ศ. 2566 จำนวน 5,678 วัด และพ.ศ. 2565 จำนวน 5,388 วัด [5] จำนวนวัดร้างที่เปลี่ยนแปลงไปเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบพยาน เพื่อนำไปใช้เป็นหลักฐานในการนิยามและกำหนดวัดร้างให้กลายเป็นทรัพย์สินภายใต้อำนาจของรัฐอย่างปราศจากข้อโต้แย้ง ดังนั้น เรื่องเล่าจากวัดร้างจึงได้ช่วยกระตุ้นให้ผู้เขียนตั้งคำถามและวิพากษ์ต่อกระบวนการและที่มาของพื้นที่/วัตถุที่ถูกสร้างขึ้นใหม่นี้ ท้ายที่สุด มนุษย์จะฟัง เข้าใจ และเกิดความสงสัยต่อเรื่องเล่าที่แฝงอยู่ในพื้นที่/วัตถุ ไม่ว่าจะเป็นของดั้งเดิมหรือสร้างขึ้นใหม่ ได้มากน้อยเพียงใด?
**ผู้สนใจสามารถชมวิดีโอบันทึกการอภิปราย หัวข้อ “เทคโนกสิกรรม วัดร้าง ทัณฑสถาน และธนาคารหุ่นยนต์: บทบาทผู้กระทำการของเทคโนโลยีเครื่องจักรกลเกษตร ธรรมชาติ และอสังหาริมทรัพย์” ฉบับเต็ม ได้ที่ EP.26 | 9B03 - ประชุมวิชาการมานุษยวิทยา 68 หัวข้อ พหุปฏิสัมพันธ์ มนุษย์กับสิ่งไม่ใช่มนุษย์ Interactive Pluralism: Human-Nonhuman https://shorturl.asia/n8JCg
เชิงอรรถ
[1] ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 (กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2556), 994.
[2] เหตุการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงทางการเมืองในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยที่เริ่มปะทุขึ้นชัดเจนตั้งแต่ พ.ศ. 2547
[3] สงครามกลางเมืองในประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีน่าช่วงกลางทศวรรษ 1990 ภายหลังการล่มสลายของสหพันธ์ยูโกสลาเวีย สำนักงานศาสนสมบัติ
[4] สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, คู่มือการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติ (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, 2567), 94-96.
[5] สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, ข้อมูลพื้นฐานทางพระพุทธศาสนา, เข้าถึงเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568, https://onab.go.th/th/content/category/index/id/1278.
รายการอ้างอิง
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2556.
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. ข้อมูลพื้นฐานทางพระพุทธศาสนา. เข้าถึงเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568. https://onab.go.th/th/content/category/index/id/1278.
สำนักงานศาสนสมบัติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. คู่มือการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, 2567.