ธนกร การิสุข นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 3 ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
อารัมภบท: พอแต่เปิดผ้าม่านกั้ง ออกมานั่งอ่านหนังสือ
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา สำนักพิมพ์มติชนได้เปิดตัวหนังสือ เปลี่ยนอีสานให้เป็น “ไทย : อุดมการณ์รัฐชาติกับสำนึกการเมืองของคนที่ราบสูง หนังสือที่มีเนื้อหาบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์(สำนึก)การเมืองของคนในภาคอีสาน ผมเกิดความรู้สึกตื่นเต้นทันทีเมื่อได้เห็นคำโฆษณาในโพสต์ดังกล่าว เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเกี่ยวกับ “ประวัติศาสตร์อีสาน” เล่มใหม่ในรอบหลายปี (ตามความเข้าใจของผู้เขียนซึ่งอาจจะผิด) ผมยิ่งมีความตื่นเต้นมากขึ้นไปอีกเมื่อได้เห็นหน้าปกของหนังสือ ซึ่งใช้ภาพหลักเป็น “อนุสาวรีย์เทอดรัฐธรรมนูญ” ที่สร้างขึ้นในจังหวัดมหาสารคามอันเป็นบ้านเกิดของผม ผู้ซึ่งถูกมิตรสหายในภาควิชาประวัติศาสตร์ มช. เรียกว่าเป็น “พวกท้องถิ่น(อีสาน)นิยม”
ทั้งนี้ ด้วยความน่าสนใจของเนื้อหาในหนังสือและความน่าประทับใจของหน้าปก หลังอ่านจบแล้วผมก็เห็นว่าควรจะลองสรุปหนังสือเล่มนี้ดูบ้าง และท้ายที่สุดสิ่งที่อ่านพบก็ได้ถูกสังเคราะห์ออกมาเป็นข้อเขียนที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ อย่างไรก็ตาม หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทั้งการจับประเด็นได้ไม่ครบถ้วนบ้าง เรียงลำดับของประเด็นไม่ตรงตามหนังสือบ้าง ขอให้ผู้เขียนหนังสือที่อาจบังเอิญผ่านมาเห็นและผู้อื่นที่กำลังอ่านข้อเขียนนี้ได้โปรดชี้แนะแก่ผมผู้ด้อยปัญญาด้วย
ชวนอ่านหนังสือ เปลี่ยนอีสานให้เป็น "ไทย": อุดมการณ์รัฐชาติกับสำนึกการเมืองของคนที่ราบสูง ของ ประวิทย์ สายสงวนวงศ์[1]
หนังสือเล่มนี้พัฒนามาจากวิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิตของประวิทย์ สายสงวนวงศ์ เรื่อง “พัฒนาการของการตื่นตัวทางการเมืองของชาวอีสาน พ.ศ. 2433-2489” เนื้อหาภายในเล่มแบ่งออกเป็น 6 บท คือ บทที่ 1 แรกเคลื่อนไหวในอีสาน, บทที่ 2 การบูรณาการ “พื้นที่อีสาน” ภายใต้ “รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์”, บทที่ 3 อีสานในห้วงเปลี่ยนผ่านก่อน พ.ศ. 2475 : ว่าด้วยโอกาสและการปรับตัวของชาวอีสานสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์, บทที่ 4 การตื่นตัวทางการเมืองของชาวอีสาน พ.ศ. 2475-2483 : ภาพสะท้อนการปรับตัวภายใต้การบูรณาการรัฐ, บทที่ 5 ภารกิจ “กู้ชาติ” ในสงครามโลกครั้งที่ 2 : จุดบรรจบความรู้สึกนึกคิดทางการเมืองภายใต้สำนึกพลเมืองแห่งรัฐไทย และบทที่ 6 การตื่นตัวทางการเมืองของชาวอีสาน : การต่อสู้ที่จะยังดำเนินต่อไป
บทที่ 1 แรกเคลื่อนไหวในอีสาน
ประวิทย์เริ่มต้นข้อเสนอของหนังสือด้วยการชี้ให้เห็นช่องว่างของงานศึกษาเกี่ยวกับการตื่นตัวทางการเมืองของชาวอีสานในช่วงที่ผ่านมา เขาได้แบ่งกลุ่มงานศึกษาเหล่านั้นออกเป็น 2 กลุ่มคือ 1) กลุ่มที่เน้นอธิบายความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้มีบุญ เป็นงานศึกษาที่เน้นอธิบายการเกิดกบฏผู้มีบุญในอีสานภายหลังการเกิดรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่น ประวัติศาสตร์อีสาน ของเติม วิภาคย์พจนกิจ[2] ประวิทย์เสนอว่า แม้งานศึกษาในกลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับบทบาททางการเมืองของคนหลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่เจ้านายท้องถิ่นไปจนถึงราษฎรชนชั้นล่าง แต่ก็มีช่องว่างในข้อจำกัดเรื่องช่วงเวลาที่ศึกษา เนื่องจากงานศึกษาส่วนใหญ่เน้นศึกษาเฉพาะกบฏผู้มีบุญที่เกิดในช่วงทศวรรษ 2440 ไม่ได้ศึกษากบฏผู้มีบุญที่เกิดขึ้นเรื่อยมาจนถึงทศวรรษ 2500
ขณะที่งานศึกษาอีกกลุ่มคือ 2) กลุ่มที่เน้นอธิบายการแสดงออกทางการเมืองของนักการเมืองอีสาน งานศึกษาในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เน้นศึกษาตั้งแต่ปี 2475-2500 หรือหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจนถึงก่อนการรัฐประหารของจอมพลสฤษฏ์ ธนะรัชต์ในปี 2500 มีกรณีศึกษาเป็นนักการเมืองชาวอีสานเฉพาะบุคคล นักการเมืองชาวอีสานในภาพรวม (รวมไปถึงศึกษาปัญญาชน พระ และข้าราชการท้องถิ่นบางส่วน) แต่ละเลยบทบาทของคนชนชั้นล่าง นอกจากนี้ งานศึกษากลุ่มนี้ยังอธิบายบริบททางสังคมการเมืองร่วมสมัยที่ผลักดันนักการเมืองชาวอีสาน แต่ไม่ได้อธิบายพัฒนาการในระยะยาวตั้งแต่ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง เช่น “Isan: Regionalism in Northeastern Thailand” ชาร์ลส์ เอฟ. คายส์[3] ที่เสนอว่า การตื่นตัวและเคลื่อนไหวทางการเมืองของนักการเมืองชาวอีสานคนสำคัญ (4 ส.ส. รัฐมนตรีอีสาน) เกิดขึ้นจากแนวคิดภูมิภาคนิยม
เพื่อเติมเต็มช่องว่างทั้งหมดข้างต้น ประวิทย์จึงมุ่งศึกษารากฐานหรือที่มาที่ไปของปรากฏการณ์การตื่นตัวทางการเมืองของชาวอีสานหลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่ผู้มีอำนาจในท้องถิ่นไปจนถึงชาวบ้านในชนบท ซึ่งเกิดขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 โดยมุ่งให้เห็นพัฒนาการหรือพลวัตที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ระยะก่อน 2475 เขากำหนดช่วงเวลาของการศึกษานี้ให้อยู่ระหว่างปี 2433-2489 หรือนับตั้งแต่การก่อเกิด “พื้นที่อีสาน” หรือ “ภาคอีสาน” จนถึงก่อนการรัฐประหาร 2490 ซึ่งการเมืองในระบบรัฐสภาเสื่อมถอยลง
บทที่ 2 การบูรณาการ "พื้นที่อีสาน" ภายใต้ "รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์"
บทนี้เป็นการปูพื้นฐานให้ผู้อ่านเห็นบริบทการเกิดขึ้นของความเป็นอีสาน อันเป็นผลสืบเนื่องของการบูรณาการรัฐของสยามภายใต้แรงกดดันจากอาณานิคมตะวันตก ประวิทย์ชี้ให้เห็นว่า อำนาจของสยามเหนือพื้นที่ซึ่งปัจจุบันเป็นภาคอีสานเพิ่งปรากฏชัดเจนช่วงพุทธศตวรรษที่ 23-24 เมื่อสยามสามารถแผ่ขยายอำนาจเชิงนามธรรมแบบรัฐจารีตจากกรุงเทพฯ ไปจนถึงหลวงพระบาง เวียงจัน จำปาสัก (ผมขอสะกดตามภาษาลาว) ก็ทำให้อีสานซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างสยามกับล้านช้างกลายเป็นส่วนหนึ่งของปริมณฑลแห่งอำนาจของสยามในที่สุด
จนถึงทศวรรษ 2400 สยามเริ่มกระชับอำนาจของตนเหนืออีสานมากยิ่งขึ้นเมื่ออิทธิพลของเจ้าอาณานิคมตะวันตกแผ่มาถึงดินแดนแถบนี้ เหตุการณ์ที่ประวิทย์เห็นว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการกระชับอำนาจคือ เหตุการณ์ ร.ศ. 112 (2436) ซึ่งอำนาจของฝรั่งเศสเข้าประชิดอีสานหลายด้าน สยามต้องการทำให้อีสานกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสมัยใหม่ภายใต้อำนาจที่ชัดเจนของราชสำนักกรุงเทพฯ (สิ่งนี้จะทำให้เกิดรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยามในเวลาต่อมา) โดยกระบวนการที่สยามใช้ในการบูรณาการ (ผนวก) อีสานประกอบด้วย 1) การบูรณาการเชิงอำนาจ 2) การบูรณาการเชิงพื้นที่ และ 3) การบูรณาการเชิงความคิด
การบูรณาการเชิงอำนาจของสยามเป็นการจัดวางระบบราชการสมัยใหม่ โดยเฉพาะการจัดตั้งระบบมณฑลเทศาภิบาลที่มุ่งทำลายอำนาจของเจ้านายท้องถิ่นและดึงอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง ตั้งแต่กลางทศวรรษ 2420 กรุงเทพฯ เริ่มส่งข้าหลวงไปประจำการที่จำปาสักและอุบลราชธานีซึ่งเป็นศูนย์กลางเครือข่ายอำนาจท้องถิ่นที่สำคัญ มีการออกกฏหมายไม่ให้เจ้านายท้องถิ่นขอตั้งเมืองใหม่ จนถึงทศวรรษ 2430 จึงเริ่มปกครองอีสานด้วยระบบมณฑลซึ่งง่ายต่อการรับคำสั่งจากส่วนกลาง พร้อมกับสร้างระบบบังคับบัญชาการในระบบราชการที่ชัดเจน เกิดตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านและกำนันที่แม้จะถูกเลือกจากชาวบ้านแต่ก็กลายเป็นเครื่องมือของรัฐส่วนกลาง[4] และท้ายที่สุดคือ มีการยกเลิกตำแหน่งอาญาสี่ซึ่งเป็นระบบการปกครองอีสานในอดีต
สยามยังดำเนินการบูรณาการเชิงพื้นที่เพื่อจัดการพื้นที่เชิงกายภาพให้มีส่วนช่วยในการดำรงอำนาจรัฐ การบูรณาการในข้อนี้มีสาเหตุมาจากการตั้งบ้านเรือนของเจ้านายท้องถิ่นในอดีตที่กระจัดกระจายจนยากต่อการทำงานในระบบราชการ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวและทำให้ระบบราชการมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สยามจึงสร้าง “พื้นที่ส่วนราชการ” อันประกอบไปด้วยอาคารราชการ บ้านพักข้าราชการ กองตำรวจ ทหาร ศาล เรือนจำ ฯลฯ (“พื้นที่ส่วนราชการ” ดูเหมือนจะมีลักษณะคล้าย “ศูนย์ราชการ” ในปัจจุบัน) พร้อมกับการสร้างระบบการทำงานที่มีสำนักงานและกฎระเบียบชัดเจนในการแยกเรื่องส่วนตัวของข้าราชการออกจากงาน มีการให้ความสำคัญกับที่ว่าการอำเภอซึ่งเป็นสถานที่ราชการที่เชื่อมรัฐเข้ากับราษฎร เนื่องจากราษฎรต้องติดต่อราชการหลายด้านผ่านสถานที่แห่งนี้ เช่น การขอเอกสารสำคัญ หนังสือเดินทาง การขออนุญาตฆ่าสัตว์ อีกทั้งที่ว่าการอำเภอยังทำหน้าที่เป็นคลังข้อมูลสำคัญของรัฐด้วย[5]
แผนที่ ระบบสื่อสาร และการคมนาคมเป็นอีกเครื่องมือสำคัญในการบูรณาการเชิงพื้นที่ของสยาม แผนที่มีส่วนทำให้ภาพของอีสานในฐานะส่วนหนึ่งของสยามชัดเจนขึ้น รัฐยังใช้แผนที่ในการสำรวจสำมะโนครัว พัฒนาพื้นที่ส่วนราชการ และวางเครือข่ายการสื่อสาร รวมทั้งกำหนดขอบเขตทางอำนาจของแต่ละเมืองให้ชัดเจนขึ้นเพื่อป้องกันอำนาจทับซ้อน นอกจากนี้ สยามยังวางระบบไปรษณีย์ โทรศัพท์ โทรเลข เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการสื่อสารระหว่างรัฐบาลกรุงเทพฯ กับข้าราชการในอีสาน รวมทั้งการพัฒนาเส้นทางคมนาคมด้วยการตัดถนนจากพื้นที่ส่วนราชการออกไปยังพื้นที่ภายนอก และสร้างทางรถไฟเชื่อมกรุงเทพฯ กับภาคอีสาน ทางรถไฟนี้นอกจากจะช่วยให้เศรษฐกิจอีสานเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจภาคกลางแล้ว ยังช่วยให้รัฐขยายอำนาจเข้าสู่ท้องถิ่นได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการขนย้ายข้าราชการและกองกำลังทหาร
การบูรณาการอีกข้อที่สำคัญซึ่งประวิทย์นำเสนอคือ การบูรณาการเชิงความคิด ตั้งแต่ทศวรรษ 2440-2460 สยามเริ่มสถาปนาชุดความคิดแบบกรุงเทพฯ ขึ้นเหนือชุดความคิดท้องถิ่น เพื่อมุ่งเน้นให้ชาวอีสานมีสำนึกคิดที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับตน ลบความเป็น “ลาว” และสร้างความเป็น “อีสาน” ขึ้นเหนือพื้นที่และชาติพันธุ์[6] สยามดำเนินการพัฒนาการศึกษาด้วยการบังคับให้มีการเรียนการสอนภาษาไทย วรรณคดีไทย พระราชประวัติของกษัตริย์ไทย ถ่ายทอดอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมทั้งการเขียนประวัติศาสตร์นิพนธ์ท้องถิ่นที่ยึดกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง พลวัตขับเคลื่อนการบูรณาการที่น่าสนใจในข้อนี้คือ พระสงฆ์ธรรมยุตสายอีสานที่มีโอกาสได้ไปศึกษาในกรุงเทพฯ โดยพระสงฆ์เหล่านั้นมีบทบาทในการถ่ายทอด “ความเป็นไทย” ไปยังท้องถิ่น พร้อมกับสนับสนุนนโยบายของรัฐหลายด้าน
ในด้านการศาสนาหรือความเชื่อ สยามยังพยายามสถาปนาอำนาจนำของตนเหนือพิธีกรรมในท้องถิ่น ประวิทย์พบว่า พระสงฆ์บางรูปที่ได้รับศึกษาจากกรุงเทพฯ วิพากษ์วิจารณ์ขนบประเพณีท้องถิ่นอย่างรุนแรง กระทั่งสั่งห้ามไม่ให้ชาวบ้านประกอบพิธีทางศาสนาบางอย่าง เช่น การฮดสรงหรือเถราภิเษก ซึ่งเป็นการแต่งตั้งสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ท้องถิ่น นอกจากนี้ เจ้านายเมืองอุบลราชธานียังถูกสั่งห้ามไม่ให้บูชาวิญญาณบรรพบุรุษของตน และสั่งห้ามไม่ให้มีการปลงศพเจ้านายที่ทุ่งศรีเมืองเพราะไปคล้ายกับการออกเมรุท้องสนามหลวงของกษัตริย์กรุงเทพฯ ขณะเดียวกัน พิธีของท้องถิ่นต่าง ๆ เหล่านี้ได้ถูกแทนที่ด้วยพิธีที่สัมพันธ์กับสยาม เช่น การถือน้ำพิพัฒน์สัตยา การจัดพิธีวันเฉลิมพระชนมพรรษา[7]
บทที่ 3 อีสานในห้วงเปลี่ยนผ่านก่อน พ.ศ. 2475: ว่าด้วยโอกาสและการปรับตัวของชาวอีสานสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ผลของการบูรณาการพื้นที่อีสานได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่ออีสานหลายด้าน ทั้งยังทำให้ชาวอีสานเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับรัฐมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เจ้านายท้องถิ่น คหบดี และชาวบ้านในอีสานกลับมีการปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่แตกต่างกัน (ซึ่งจะส่งผลต่อการแสดงออกทางการเมืองที่ต่างกันด้วย) ในส่วนนี้ ประวิทย์ได้มุ่งพิจารณาลักษณะการปรับตัวของชาวอีสานต่อความเปลี่ยนแปลงทั้งหมด 3 ด้านคือ 1) การเข้าถึงโอกาสและการปรับตัวทางเศรษฐกิจ 2) การเข้าถึงโอกาสและการปรับตัวทางการศึกษา และ 3) การปรับตัวสู่ระบบราชการ
แม้ภายหลังการมาของทางรถไฟ เศรษฐกิจอีสานจะขยายตัวภายใต้เศรษฐกิจของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มีกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง จนก่อให้เกิดการเข้าถึงโอกาสและการปรับตัวทางเศรษฐกิจในอีสานขนานใหญ่ แต่ข้อเสนอของประวิทย์กลับสะท้อนว่า กลุ่มที่เข้าถึงโอกาสได้โดยมากเป็นเจ้านายท้องถิ่นและคหบดี พวกเขาลงทุนซื้อที่ดินใกล้ทางรถไฟซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ และเป็นพ่อค้าในตลาดหรือพ่อค้าคนกลางรับซื้อผลิตผลทางการเกษตรกรจากชาวบ้าน (ในกรณีอย่างหลังหมายถึงคหบดีชาวจีน) ขณะที่ชาวบ้านในชนบทส่วนใหญ่ยังคงดำรงชีวิตด้วยการผลิตแบบพอยังชีพ แลกเปลี่ยนสินค้าโดยไม่ใช้เงินตรา มีชาวบ้านเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจได้ด้วยการผันตัวไปเป็น “นายฮ้อย” พ่อค้าคนกลางรับซื้อปศุสัตว์จากอีสานเพื่อนำไปขายยังตลาดในภาคกลางและพม่า[8] ชาวบ้านกลุ่มหลังนี้เองที่สร้างรายได้จากการค้าปศุสัตว์มหาศาลจนสามารถยกระดับสถานะทางสังคมของตนได้ในภายหลัง
ประวิทย์วิเคราะห์ว่า การที่ชาวบ้านในอีสานไม่สามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจได้นั้น เป็นผลมาจากปัจจัย 3 ข้อคือ 1) การยึดวิถีการผลิตแบบยังชีพ ไม่ได้ผลิตเพื่อขาย 2) การไม่มีเงินสำหรับลงทุน และ 3) การไม่มีความรู้ความสามารถในทางเศรษฐกิจ ภาษา ระบบราชการ และไม่มีเครือข่ายทางสังคม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้ชาวบ้านในอีสานจะไม่สามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจได้ แต่พวกเขาก็ยังคงต้องปรับตัวให้เข้ากับเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลง ในแต่ละปีชาวบ้านต้องหาเงินจำนวนมากไว้เพื่อจ่ายเป็นเงินค่ารัชชูปการ เงินศึกษาพลี ภาษี และค่าอากรอื่น ๆ เมื่อต้องไปติดต่อราชการ ทางเลือกหนึ่งของชาวบ้านเหล่านั้นจึงเป็นการเดินทางไปทำงานในกรุงเทพฯ และมักต้องพบกับการเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง
ในด้านการศึกษา ดูเหมือนว่าคนทุกกลุ่มในอีสานจะเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาได้ แต่มีการปรับตัวในลักษณะที่แตกต่างกัน กล่าวคือ หลังการบูรณาการเชิงความคิดผ่านระบบการศึกษา การพยายามขยายระบบการศึกษาออกไปจนครอบคลุม 660 ตำบลจาก 670 ตำบลในภาคอีสาน[9] ทำให้ชาวอีสานได้รับการศึกษาโดยถ้วนหน้า กระนั้น ไม่ใช่ชาวอีสานทุกคนที่จะสามารถปรับตัวเข้ากับการศึกษาได้ มีเพียงเจ้านายท้องถิ่นและคหบดี (ชาวจีนและชาวพื้นเมือง) เท่านั้นที่มีศักยภาพมากพอจะส่งเสริมการศึกษาของบุตรหลานได้อย่างเต็มที่ ผู้ที่มีภูมิหลังมาจากครอบครัวทั้งสองกลุ่มจึงมีการศึกษาสูง ถึงขั้นที่บางคนสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนในกรุงเทพฯ ขณะที่ชาวบ้านทั่วไปได้รับการศึกษา “ตามอัตภาพ”[10] บางรายจำเป็นต้องลาออกเพราะต้องไปทำนา หรือในบางกรณีก็ลาออกเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าการศึกษาที่รัฐบาลบังคับจ่าย ประวิทย์พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่า หลายครั้งการบังคับจ่ายเงินเพื่อการศึกษาก็นำมาซึ่งความไม่พอใจของชาวบ้าน
ในประเด็นการปรับตัวสู่ระบบราชการซึ่งเป็นส่วนสุดท้ายของบทที่ 3 ข้อเสนอของประวิทย์ได้ชี้ชวนให้ผู้อ่านเห็นภาพว่า ระบบราชการเป็นพื้นที่ต่อรองของกลุ่มเจ้านายท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้ปกครองในรัฐจารีต (ข้าราชการรุ่นเก่า) กับข้าราชการชั้นสูงในรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างข้าหลวงจากกรุงเทพฯ เพราะหลังจากที่ระบบราชการสมัยใหม่ได้เข้ามาแทนที่ระบบอาญาสี่แล้ว ข้าราชการรุ่นเก่าในระบบอาญาสี่ยังคงพยายามปรับตัวและเข้ามามีบทบาทในการปกครองรูปแบบใหม่แม้จะต้องสูญเสียผลประโยชน์บางอย่างไป พวกเขาอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างพวกเขากับข้าหลวงเพื่อเข้าสู่ระบบราชการ น่าสนใจว่า ข้าหลวงก็มักจะไม่ปฏิเสธการปรับตัวเข้าสู่ระบบราชการของข้าราชการรุ่นเก่าเหล่านั้น และยังแต่งตั้งให้ข้าราชการรุ่นเก่ามีบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกันไป “ตามความเหมาะสมและความจงรักภักดี”[11]
ชาวอีสานอีกกลุ่มที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในระบบราชการคือ “กลุ่มพลังทางสังคมใหม่” ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของเจ้านายท้องถิ่นและคหบดี คนกลุ่มนี้เข้าสู่ระบบราชการด้วยหลักคิดที่มอง “คุณวุฒิ” สำคัญกว่า “ชาติวุฒิ” หลายคนผ่านการสอบเป็นครูตามโรงเรียนขนาดเล็กก่อนจะพัฒนาไปเป็นข้าราชการระดับกลาง พวกเขามักไม่สามารถก้าวไปเป็นข้าราชการระดับสูงซึ่งเป็นตำแหน่งของข้าราชการรุ่นเก่า ด้วยปัญหาในระบบราชการข้อนี้ ข้าราชการรุ่นใหม่หลายคนเลือกที่จะย้ายไปทำงานในหน่วยงานอื่น ๆ แทนการเป็นครู หรือไม่ก็เลือกลาออกไปทำงานทนายความหรือนักหนังสือพิมพ์ อาชีพที่กล่าวมาข้างต้นจะส่งผลต่อการแสดงออกทางการเมืองของกลุ่มพลังทางสังคมใหม่ในภายหลัง เพราะทุกอาชีพล้วนทำให้พวกเขาได้พบความทุกข์ยากของคนในสังคมอีสาน พวกเขาอาศัยพื้นที่เมืองเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนข้อมูล เป็นสถานที่พบปะพูดคุยและรับข่าวสาร เพราะเมืองเป็นพื้นที่ที่มีสื่อให้เข้าถึงอย่างหลากหลาย เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ
ในช่วงทศวรรษ 2460-2470 (ก่อน 2475) กลุ่มพลังทางสังคมใหม่กลายเป็นชาวอีสานกลุ่มสำคัญที่แสดงออกทางการเมือง พวกเขาสนใจการเมืองการปกครองภายใต้อิทธิพลแนวคิด “พลเมือง” ของ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” พื้นที่สำหรับการแสดงออกทางการเมืองที่สำคัญคือ หนังสือพิมพ์ พวกเขาเขียนวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างเปิดเผย ตีแผ่ความประพฤติอันมิชอบของข้าราชการชั้นผู้น้อยไปจนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดอย่างตรงไปตรงมา อีกทั้งยังเสนอแนวทางพัฒนาประเทศอย่างหลากหลาย เช่น หนังสือพิมพ์หลักเมือง ฉบับวันที่ 23 มีนาคม 2471 มีเรื่อง “มหาสารคามงานของเจ้าเมือง” ของ “เสือตะวันออก” ที่ตีแผ่การใช้อำนาจมิชอบของผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามและพรรคพวก หรือหนังสือพิมพ์ประชาชาติ ฉบับวันที่ 2-3 เมษายน 2472 มีเรื่อง “สภาพการณ์แห่งภาคอีสาน” ของ “แม่น้ำโขง” (อ่ำ บุญไทย) ที่เสนอแนวทางการพัฒนากสิกรรม การศึกษา เศรษฐกิจของชาติ และเหน็บแนมรัฐบาลเจ้าที่ละเลยการพัฒนาชาติและใช้จ่ายฟุ่มเฟือย[12]
บทที่ 4 การตื่นตัวทางการเมืองของชาวอีสาน พ.ศ. 2475-2483: ภาพสะท้อนการปรับตัวภายใต้การบูรณาการรัฐ
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 นับเป็นส่วนหนึ่งของการบูรณาการรัฐของสยามที่มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง แนวคิด “ชาติ” “พลเมือง” และ “รัฐประชาชาติ” ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่โดยไม่ยึดโยงกับสถาบันกษัตริย์ส่งผลให้ชาวอีสานยึดโยงกับรัฐมากขึ้น เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ชาวอีสานจำนวนไม่น้อยในหลากหลายพื้นที่ต่างให้ความสนใจต่อเหตุการณ์สำคัญนี้ ขณะเดียวกัน รัฐก็เริ่มขยับเข้าใกล้ชาวอีสานมากขึ้นด้วยนโยบายเชิงรุกเพื่อปลูกฝังสำนึกความเป็น “พลเมือง” และสำนึกทางการเมืองในระบอบรัฐธรรมนูญให้กับชาวอีสาน รัฐทำให้อุดมการณ์ทางการเมืองเชิงนามธรรมให้กลายเป็นวัตถุ สัญลักษณ์ หรือภาพตัวแทนในเชิงรูปธรรม เช่น การจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญตามจังหวัดและอำเภอสำคัญในช่วงปี 2477-2500 การทำให้รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนอุดมการณ์การปกครองใหม่ไปปรากฏในรูปแบบเหรียญ อนุสาวรีย์ หรือตราของหน่วยงานในช่วงปลายทศวรรษ 2470-2480
อนุสาวรีย์เทอดรัฐธรรมนูญ มหาสารคาม อนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญแห่งแรกของสยาม
บน : ภาพอนุสาวรีย์ในช่วงปี 2477 เมื่อครั้งยังตั้งอยู่ที่หน้าศาลากลางจังหวัด (ภาพจากเว็บไซต์ วัตถุปฏิวัติ[13])
ล่าง : ภาพอนุสาวรีย์ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 หลังจากย้ายมาตั้งอยู่ที่หน้าเทศบาลเมืองมหาสารคาม (ภาพถ่ายส่วนตัว)
สื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่รัฐใช้ถ่ายทอดอุดมการณ์ทางการเมือง สร้างความตระหนักรู้ และความเลื่อมใสในรัฐธรรมนูญให้พลเมือง กรมโฆษณาการเปิดโอกาสให้พลเมืองส่งบทความการเมืองมาออกอากาศผ่านวิทยุได้ มีการตีพิมพ์หนังสือ แบบเรียน และวรรณกรรมการเมืองที่ถ่ายทอดความสำคัญของรัฐธรรมนูญตลอดระยะปี 2475-2487 เช่น หนังสือการเลือกตั้งผู้แทน ซึ่งระบุวิธีพิจารณาคุณสมบัติของผู้ที่เหมาะสมจะได้รับการเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่นที่จะกระทำประโยชน์ให้กับชาติ คุณวุฒิด้านการศึกษา หรือความมั่นคงทางเศรษฐกิจ กระทั่งคำกลอนท้องถิ่นของขุนพรมประศาสน์ (วรรณ พรหมกสิกร) เรื่อง เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยภาคอีสาน[14] และ คำกลอนพากย์อีสานบรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม ซึ่งใช้รูปแบบคำประพันธ์และภาษาท้องถิ่นที่เข้าใจได้ง่ายในการถ่ายทอดอุดมการณ์ในระบอบรัฐธรรมนูญให้เข้าถึงพลเมืองชาวอีสาน
ชาวอีสานยังมีบทบาทสำคัญในการปราบกบฏบวรเดช แม้งานศึกษาก่อนหน้าจะเสนอว่ามีชาวอีสานสัมพันธ์กับกบฏบวรเดชในฐานะนายทหารของคณะกู้บ้านกู้เมือง แต่ในงานของประวิทย์กลับได้ฉายภาพบทบาทชาวอีสานกลุ่มอื่น ๆ ในกรณีกบฏบวรเดชด้วย ประวิทย์เสนอว่า ข้าราชการพลเรือน คหบดี ราษฎร ไปจนถึงพระภิกษุ ได้ช่วยกันต่อต้านกบฏบวรเดชอย่างแข็งขัน เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ชาวอีสานหลายคนทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลที่ส่งมาทางไปรษณีย์โทรเลขให้กับรัฐบาล อีกทั้งยังสมัครเป็นทหารอาสาเพื่อตามจับกบฏที่หลบหนีเข้ามาในภาคอีสาน เช่นเดียวกับข้าราชการในจังหวัดบุรีรัมย์ มหาสารคาม อุดรธานี และขอนแก่น ที่ช่วยกันตามจับกบฏในเขตจังหวัดของตน รวมทั้งรองเจ้าคณะมณฑลนครราชสีมาที่จัดพระมหาเปรียญไปเทศนาชี้แจงเหตุการณ์ให้กับชาวบ้าน[15]
กลุ่มพลังทางสังคมใหม่เป็นพลเมืองชาวอีสานกลุ่มสำคัญที่แสดงออกทางการเมืองอย่างกระตือรือร้นหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 พวกเขาเป็นภาพสะท้อนที่สำคัญของอิทธิพลความเปลี่ยนแปลงในอีสานที่เกิดขึ้นในระยะก่อนหน้าอย่างการบูรณาการรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และการสร้างสำนึกพลเมืองหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง การอาศัยอยู่ในเมืองซึ่งการปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมืองเข้มข้นทำให้พวกเขามีความคิดเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีความคิดเห็นแก่พลเมืองส่วนรวม ภาคอีสาน ประเทศชาติ และรัฐธรรมนูญ พร้อมที่จะใช้ความรู้ความสามารถของตนช่วยผดุงระบอบใหม่ พวกเขาส่งฎีกาหรือจดหมายแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เสนอแนะให้รัฐบาลเผยแพร่อุดมการณ์อย่างกว้างขวาง ช่วยกันสอดส่องข้าราชการที่มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับรัฐธรรมนูญ
พวกเขายังเสนอความรู้สึกนึกคิดด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้วยการแนะนำวิธีการต่าง ๆ ให้รัฐบาลเพื่อหารายได้มาชดเชยเงินที่ใช้ไปกับการปราบกบฏ เสนอแนวทางดำเนินเศรษฐกิจชาตินิยม อุดหนุนกิจการของคนไทย ลดความเหลื่อมล้ำและเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับคนทุกกลุ่ม มากไปกว่านั้น คนกลุ่มดังกล่าวยังผลิตหนังสือและสารคดีการเมืองที่เน้นถ่ายทอดความคิดทางการเมืองของตนสู่สาธารณะ งานหลายชิ้นของพวกเขาช่วยส่งเสริมให้พลเมืองชาวอีสานตั้งข้อสังเกตและวิพากษ์สภาพการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เช่น การเสนอแนวคิดที่มองว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่ใช่การชิงสุกก่อนห่าม แนวคิดที่ส่งเสริมให้พลเมืองมีส่วนร่วมทางการเมืองเพราะพลเมืองเป็นกลไกสำคัญที่นำพาชาติให้เจริญ
การมีส่วนร่วมในการเมืองระบบรัฐสภาเป็นอีกหนึ่งภาพสะท้อนของการแสดงออกทางการเมืองของชาวอีสาน หลังการเลือกตั้งปี 2476 มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากภาคอีสาน (สส.อีสาน) ในรัฐสภาทั้งหมด 19 คนจากทั้งหมด 78 คนทั่วประเทศ ขณะที่ในปี 2480 มีสส.อีสานทั้งหมด 25 คนจากทั้งหมด 91 คนทั่วประเทศ สส.เหล่านี้ส่วนมากมีภูมิหลังจากการเป็นข้าราชการ พวกเขา (โดยเฉพาะกลุ่มพลังทางสังคมใหม่ หรือคนรุ่นใหม่) มีบทบาทที่โดดเด่นในรัฐสภาจนได้รับการขนานนามว่าเป็นสส.ที่ “เอะอะมะเทิ่ง” และ “เฮี้ยว” จากลีลาการแสดงความคิดเห็นที่เผ็ดร้อน[16] พวกเขากลายเป็นทั้งผู้ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและผู้นำภาพ “ท้องถิ่น” ไปทำให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับชาติผ่านการตีแผ่และเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับพลเมืองชาวอีสาน พัฒนาการสาธารณสุข การศึกษา และปรับปรุงการเก็บภาษีให้ชาวบ้านไม่ได้รับความเดือดร้อน
ในทางกลับกัน ชาวบ้านในชนบทของอีสานกลับเป็นกลุ่มคนที่มีการตื่นตัวทางการเมืองน้อยมาก ประวิทย์เสนอว่าสิ่งนี้เป็นผลมาจากการปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมืองในชนบทที่เบาบางต่างจากเมือง แม้ชาวบ้านอีสานจะมีโอกาสเข้าถึงเมืองด้วยการเข้าไปทำงาน แต่พวกเขากลับได้รับแรงกดดันซึ่งทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกและสำนึกคิดที่แตกต่างจากคนเมือง เช่น พวกเขามีสำนึกใกล้ชิดกับ “ความเป็นลาว” มากกว่า “ความเป็นไทย” อย่างไรก็ดี มีบางกรณีที่ชาวบ้านอีสานแสดงออกทางการเมืองอย่างจริงจัง พวกเขาเน้นให้ความสำคัญกับปัญหาใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ที่พวกเขาได้รับจากการถูกบังคับจ่ายภาษีหรือความเดือดร้อนจากพฤติกรรมของข้าราชการในท้องถิ่น
การแสดงออกทางการเมืองที่ชัดเจนของชาวบ้านอีสานมักอยู่ในลักษณะเป็นปฏิกิริยาปฏิปักษ์กับรัฐ พวกเขาถูกรัฐเรียกว่า “กบฏ” (อาจจะเพิ่มคำว่า “ผู้มีบุญ” หรือ “ผีบ้าผีบุญ” สุดแต่ลักษณะการเคลื่อนไหว) เช่น กรณีกบฏหมอลำน้อยชาดาในมหาสารคาม กบฏหมอลำโสภา พลตรีในขอนแก่น ชาวบ้านเหล่านี้ซึ่งมีอาชีพเป็นหมอลำ ได้ยุยงให้ชาวบ้านปฏิเสธนโยบายและกฎหมายของรัฐบาลกรุงเทพฯ ไม่จ่ายภาษี ไม่ส่งบุตรหลานไปเรียนหนังสือในโรงเรียน หันมาเรียนอักษรธรรมแบบเดิม โดยกลไกขับเคลื่อนการแสดงออกทางการเมืองของชาวบ้านที่สำคัญคือ “พลังท้องถิ่น” ความเชื่อจารีตประเพณีที่ยังคงเข้มข้นในชนบท และน่าสนใจว่า การแสดงออกของชาวบ้านอีสานดังกล่าวเป็นการต่อต้านอำนาจรัฐไทย มากกว่าจะเป็นต่อต้านระบอบการปกครองใด ๆ อย่างเฉพาะเจาะจง[17]
บทที่ 5 ภารกิจ "กู้ชาติ" ในสงครามโลกครั้งที่ 2: จุดบรรจบความรู้สึกนึกคิดทางการเมืองภายใต้สำนึกพลเมืองแห่งรัฐไทย
ในบทนี้ประวิทย์ได้ชวนให้ผู้อ่านทำความเข้าใจปัจจัยการเกิดขบวนการเสรีไทยสายอีสานในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ข้อเสนอประวิทย์คือ ความขัดแย้งระหว่างสส.อีสานที่ยึดถือหลักการสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ กับจอมพลป. พิบูลสงครามที่พยายามสร้างแนวคิดอำนาจนิยมระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเหตุให้สส.อีสานเลือกต่อต้านจอมพลป. ด้วยการเข้าร่วมกับองค์กรที่ต่อต้านนโยบายสงครามของจอมพลป. และกองทัพญี่ปุ่นอย่างเสรีไทย การจัดตั้งขบวนการเสรีไทยสายอีสานของสส.อีสานหลายคน (เช่น ถวิล อุดล สส.ร้อยเอ็ด จำลอง ดาวเรือง สส.มหาสารคาม ทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ทิม ภูริพัฒน์ และฟอง สิทธิธรรม สส.อุบลราชธานี) โดยมีเตียง ศิริขันธ์ สส.สกลนครเป็นผู้นำองค์กร นับเป็นการก่อตั้งองค์กรเคลื่อนไหวทางการเมืองสมัยใหม่ครั้งแรกของอีสาน[18]
ขบวนการเสรีไทยได้รับการสนับสนุนจากชาวอีสานหลายกลุ่ม เห็นได้จากกองกำลังของขบวนการเสรีไทยสายอีสานก่อรูปขึ้นจากการรวมตัวของข้าราชการ คหบดี และชาวบ้านได้นับหมื่นคนจากทั่วภาคอีสาน ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งในความสำเร็จด้านมวลชนนี้มาจากเครือข่ายของผู้นำขบวนการหลายคน ภูมิหลังของสส.อีสานหลายคนที่เคยรับราชการครูในชนบทมาก่อน ทำให้พวกเขามีทั้งเครือข่ายของข้าราชการในเมืองและชาวบ้านในชนบท จึงไม่เป็นการยากนักที่ขบวนการเสรีไทยสายอีสานจะสามารถระดมมวลชนมาฝึกได้มากถึงหลักหมื่นคน ประวิทย์ยังเสนออีกว่า ขบวนการเสรีไทยเป็นองค์กรที่ช่วยเผยแพร่อุดมการณ์ทางการเมืองไปยังชาวบ้านในชนบท การพูดปลุกใจชักชวนให้ชาวบ้าน “ตายเพื่อชาติ” ทำให้ชาวบ้านมีสำนึกพลเมืองของชาติมากขึ้น จนหลังสงคราม ชาวบ้านที่เคยเข้าร่วมขบวนการเสรีไทยหลายคนมีความตื่นตัวทางการเมือง และร่วมกับสส.อีสานต่อต้านรัฐบาลอำนาจนิยมเรื่อยมา ดังกรณีของครอง จันดาวงศ์[19]
บทที่ 6 การตื่นตัวทางการเมืองของชาวอีสาน: การต่อสู้ที่จะยังดำเนินต่อไป
บทสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้เป็นการสรุปข้อเสนอของเนื้อหาในบทที่ผ่าน ๆ มา ประวิทย์ทำให้ผู้อ่านเห็นว่า สำนึกและการแสดงออกทางการเมืองของชาวอีสานไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ โดยปราศจากบริบท หากแต่ก่อตัวขึ้นมาจากการบูรณาการรัฐและทำให้อีสานกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสมัยใหม่ พร้อมกันนั้นประวิทย์ยังชี้ให้เห็นลักษณะการปรับตัวของชาวอีสานให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ หลังการบูรณาการรัฐนั้นด้วย แม้หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 กลุ่มคนในภาคอีสานจะแสดงออกทางการเมืองในลักษณะที่แตกต่างกัน แต่ความรู้สึกนึกคิดทางการเมืองของคนหลากหลายกลุ่มก็มาบรรจบกันในภายหลังเมื่อพวกเขาต้องต่อสู้เพื่อชาติในสงครามโลกครั้งที่ 2 บริบทนี้เองที่ประวิทย์เสนอว่าอาจช่วยทำให้เข้าใจได้ว่าเหตุใดในระหว่างสงครามเย็น ภาคอีสานจึงกลายเป็นพื้นที่สีแดง
กล่าวในภาพรวม หนังสือ เปลี่ยนอีสานให้เป็น “ไทย” : อุดมการณ์รัฐชาติกับสำนึกการเมืองของคนที่ราบสูง ของประวิทย์ สายสงวนวงศ์ เป็นหนังสือ “ประวัติศาสตร์(การเมือง)อีสานที่ดี” เล่มหนึ่งที่ช่วยให้ผู้อ่านเห็นว่า ภาคอีสานเป็นพื้นที่หนึ่งซึ่งมวลชนมีสำนึก การตื่นตัว และการต่อสู้ทางการเมืองอย่างเป็นพลวัต ภายใต้แรงกดดันจากโครงสร้างส่วนบนของรัฐสมัยใหม่ ความยากลำบากและความเหลื่อมล้ำทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองการปกครอง ทั้งนี้ ผมมีงานศึกษาแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผู้อ่านที่สนใจเรื่องการแสดงออกทางการเมืองของชาวอีสานผ่านหมอลำหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 โดยงานศึกษานั้นคือ “กลอนลำรัฐธรรมนูญ มหาสารคาม พ.ศ. 2477” ของศรัญญู เทพสงเคราะห์ โดยศรัณญูได้ศึกษากลอนลำที่ได้รับรางวัลจากการประกวดกลอนลำในงานฉลองอนุสาวรีย์เทอดรัฐธรรมนูญของจังหวัดมหาสารคามในปี 2477 ซึ่งประวิทย์ใช้ภาพอนุสาวรีย์นั้นบนหน้าปกของหนังสือเล่มนี้[20]
ท้ายที่สุดนี้ ในฐานะ “พวกท้องถิ่น(อีสาน)นิยม” คนหนึ่ง ผมขอขอบคุณไปยังประวิทย์ สายสงวนวงศ์ ผู้เขียนหนังสือ ที่ได้ช่วยเติมเต็มประวัติศาสตร์การต่อสู้ของมวลชนบนที่ราบสูงให้เด่นชัดยิ่งขึ้น
[1] ประวิทย์ สายสงวนวงศ์, เปลี่ยนอีสานให้เป็น “ไทย” : อุดมการณ์รัฐชาติกับสำนึกการเมืองของคนที่ราบสูง (กรุงเทพฯ: มติชน, 2568).
[2] ประวิทย์อ้างถึง; เติม วิภาคย์พจนกิจ, ประวัติศาสตร์ภาคอีสาน, พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2557).
[3] ประวิทย์อ้างถึง; คายส์, ชาร์ลส์ เอฟ., อีสานนิยม : ท้องถิ่นนิยมในสยามประเทศไทย, แปลโดย รัตนา โตสกุล, พิมพ์ครั้งที่ 5, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2556).
[4] ประวิทย์ สายสงวนวงศ์, เปลี่ยนอีสานให้เป็น “ไทย”, 39-41.
[5] ประวิทย์ สายสงวนวงศ์, เปลี่ยนอีสานให้เป็น “ไทย”, 51-53.
[6] ประวิทย์ สายสงวนวงศ์, เปลี่ยนอีสานให้เป็น “ไทย”, 75-78.
[7] ประวิทย์ สายสงวนวงศ์, เปลี่ยนอีสานให้เป็น “ไทย”, 86.
[8] ประวิทย์ สายสงวนวงศ์, เปลี่ยนอีสานให้เป็น “ไทย”, 109-111.
[9] ประวิทย์ สายสงวนวงศ์, เปลี่ยนอีสานให้เป็น “ไทย”, 124.
[10] ประวิทย์ สายสงวนวงศ์, เปลี่ยนอีสานให้เป็น “ไทย”, 127.
[11] ประวิทย์ สายสงวนวงศ์, เปลี่ยนอีสานให้เป็น “ไทย”, 139-140.
[12] ดูหัวข้อ “การแสดงออกทางการเมืองของ ”กลุ่มพลังทางสังคมใหม่” ก่อน พ.ศ. 2475”; ประวิทย์ สายสงวนวงศ์, เปลี่ยนอีสานให้เป็น “ไทย”, 153-166.
[13] วัตถุปฏิวัติ, “อนุสาวรีย์เทอดรัฐธรรมนูญ มหาสารคาม,” วัตถุปฏิวัติ, สืบค้นเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568, https://revolutionaryobjects.org/th/object/the-first-constitution-monument
[14] ผู้ที่สนใจคำประพันธ์ของขุนพรมประศาสน์ โปรดดู; “เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม คำกลอนภาษาไทยภาคอีสาน,” จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สืบค้นเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2568, http://adminebook.car.chula.ac.th; Sanam Ratsadon, คำกลอนพากย์อีสานบรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม, Sanam Ratsadon, สืบค้นเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2568, https://sanamratsadon.org
[15] ประวิทย์ สายสงวนวงศ์, เปลี่ยนอีสานให้เป็น “ไทย”, 200-208.
[16] ประวิทย์ สายสงวนวงศ์, เปลี่ยนอีสานให้เป็น “ไทย”, 233.
[17] ประวิทย์ สายสงวนวงศ์, เปลี่ยนอีสานให้เป็น “ไทย”, 249-272.
[18] ประวิทย์ สายสงวนวงศ์, เปลี่ยนอีสานให้เป็น “ไทย”, 295-296.
[19] ประวิทย์ สายสงวนวงศ์, เปลี่ยนอีสานให้เป็น “ไทย”, 303-305
[20] ศรัญญู เทพสงเคราะห์, “กลอนลำรัฐธรรมนูญ มหาสารคาม พ.ศ. 2477,” ศิลปวัฒนธรรม 40, ฉ.2 (ธันวาคม 2561): 124-141.