
เมื่อวันที่ 7 ถึง 9 กรกฎาคม 2568 นักเรียนประวัติศาสตร์จำนวน 4 คนได้เข้าร่วมงานประชุมวิชาการมานุษยวิทยา 68 “พหุปฏิสัมพันธ์ มนุษย์กับสิ่งไม่ใช่มนุษย์” (Interactive Pluralism: Human-Nonhuman) จัดโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ภายใต้ประเด็นย่อยเรื่องการซึมผ่านและการบรรจบกันของมนุษย์กับสิ่งอื่น (permeability & intersectionality) เราตั้งชื่อหัวข้ออภิปรายกลุ่มว่า “เทคโนกสิกรรม วัดร้าง ทัณฑสถาน และธนาคารหุ่นยนต์: บทบาทผู้กระทำการของเทคโนโลยี เครื่องจักรกลเกษตร ธรรมชาติ และอสังหาริมทรัพย์” ตามคำสำคัญในงานวิจัยของแต่ละคน การเข้าร่วมงานประชุมเปิดโอกาสให้รับรู้ถึงประเด็น วิธีวิทยา และข้อถกเถียงที่กำลังได้รับความสนใจจากวงการวิชาการทั้งในและนอกศาสตร์มานุษยวิทยา ตลอดจนนำสู่การทบทวนความเข้าใจถึงปฏิสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่อสิ่งไม่ใช่มนุษย์ ทั้งผ่านผลงานของผู้เข้าร่วมและงานของเราเอง ดังปรากฏในบททดลองปริทัศน์การประชุมทั้งสามชิ้นนี้
สิ่งไม่ใช่มนุษย์ (nonhuman) คืออะไร เป็นหนึ่งในคำถามสำคัญจากงานประชุมครั้งนี้ หากสำรวจจากสูจิบัตรจะพบหัวข้ออภิปรายที่เกี่ยวกับสัตว์ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ภูมิอากาศ เทคโนโลยี วัตถุ สถานที่ เสียง อำนาจศักดิ์สิทธิ์ จุลชีพ เชื้อโรค และภัยพิบัติ เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่ดำรงอยู่ที่ไม่ใช่มนุษย์แต่พัวพันกับชีวิตมนุษย์ หากแต่ในการเสวนาโต๊ะกลม “Anthropology and the Nonhuman Turn” ช่วงปิดท้ายงาน รองศาสตราจารย์ ดร. เก่งกิจ กิติเรียงลาภ ผู้ร่วมเสวนา เห็นว่า “nonhuman” เป็น “approach” หรือวิธีการศึกษา การเสนอการหันไปหาสิ่งไม่ใช่มนุษย์จึงเป็นการเสนอวิธีการศึกษามากกว่าเป็นการศึกษาสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ และเตือนให้เห็นถึงการลดทอนความเป็นการเมืองหรือความสัมพันธ์เชิงอำนาจในการใช้ทฤษฎีเช่น Actor-Network Theory (ANT) ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก นอกจากนี้การหันเข้าหาสิ่งไม่ใช่มนุษย์ยังเป็นแนวคิดหนึ่งที่เกิดขึ้นเพื่อศึกษาบางประเด็นปัญหา การเสนอความเป็นไปของความคิดหรือการดำรงอยู่ที่แตกต่างออกไปจึงเป็นพลังของการทำงาน และสิ่งนี้คือสิ่งที่ รศ. ดร. เก่งกิจเรียกว่าเป็นการเมืองของ “nonhuman”
การศึกษาสิ่งไม่ใช่มนุษย์ (nonhuman) เป็นศูนย์กลางคืออะไร เป็นคำถามที่ผู้เข้าร่วมฟังการประชุมถามเช่นกัน ศาสตราจารย์ ดร. ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล ได้ยินคำว่า agency, Actor-Network Theory, Deleuze [Gilles Deleuze], Latour [Bruno Latour]จากการนำเสนอผลงานหลายชิ้น การประยุกต์ใช้ทฤษฎียังไม่ไปด้วยกันหรือสอดรับกับเนื้อหาที่ได้จากงานภาคสนามทางมานุษยวิทยานัก ทั้งนี้ ศ. ดร. ปริตตาตั้งข้อสังเกตว่าวิธีการศึกษานี้สามารถนำเราไปสู่แนวทางสามประการต่อไปนี้ได้หรือไม่ คือ หนึ่ง การหันออกจากความเป็นตะวันตกและนำไปสู่ทฤษฎีท้องถิ่นหรือทฤษฎีที่ไม่อาศัยตะวันตก สอง งานที่แสดงพลังทางการเมือง และ สาม หนทางสู่การแลกเปลี่ยนระหว่างความคิดที่ขัดแย้งกัน
สำหรับผู้ศึกษาสิ่งไม่ใช่มนุษย์ในทางประวัติศาสตร์ เราไม่คลายความสงสัยกับคำถามที่กล่าวมา ธิติญา เหล่าอันเริ่มต้นเรื่องด้วยการเท้าความถึงประสบการณ์ส่วนตัวเมื่อเริ่มย้ายศูนย์กลางการดำเนินเรื่องสู่ตัวกระทำที่ไม่ใช่มนุษย์ และเสนอว่าเครื่องจักรการเกษตร ได้แก่ รถไถนาเดินตาม รถแทรกเตอร์ และรถเกี่ยวข้าว เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ส่งผลให้เกิดการก่อตัวของผู้ประกอบการในเขตชุมชนทุ่งกุลาร้องไห้ จังหวัดร้อยเอ็ดในทศวรรษ 2530 ความสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างเทคโนโลยีและชาวบ้านนั้นปรับเปลี่ยนและยืดหยุ่นได้ ธิติญาสรุปถึงบางประเด็นที่ได้จากการฟังปาฐกถาหลักของงาน เช่น การถูกปกครอง ญาณวิทยาของภูมิศาสตร์ และสิ่งที่เป็นมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งช่วยให้มุมมองปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมในฐานะเครือข่ายที่ซับซ้อนและมีพลวัต [อ่านบทความต่อได้ที่นี่]
จีฮาน เดือนเด่น ผู้มีพื้นเพอยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและประสบการณ์กับน้ำท่วม เลือกเขียนถึงหัวข้ออภิปรายเกี่ยวกับอุทกภัยในลุ่มเจ้าพระยาและความสัมพันธ์ระหว่างคนกับน้ำในพื้นที่บางบาล อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประเด็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานทางน้ำสู่โครงสร้างพื้นฐานบนที่แห้งที่ไม่ราบรื่น กระตุ้นให้จีฮานเชื่อมโยงถึงกรณีปัญหาน้ำหลากไหลท่วมทางรถไฟสายเหนือขณะดำเนินการก่อสร้างช่วงปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ถึงจังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. 2445 - 2450 เมื่อ 120 ปีล่วงมาแล้ว ปัญหาดังกล่าวถูกแก้ไขด้วยสรรพสิ่งไม่ว่าจะเป็นดินแข็ง ไม้เต็งรัง เหล็กจากเยอรมัน ซึ่งประกอบรวมกันเป็นรางรถไฟสายเหนือ ลูกผสมระหว่างเทคโนโลยีตะวันตกและสรรพสิ่งท้องถิ่น [อ่านบทความต่อได้ที่นี่]
ขณะที่ชิษณุพงศ์ รุจิโรจน์วรางกูร ได้สรุปหัวข้ออภิปราย “บ้านร้าง วัตถุพยาน และสื่อศิลปะ” จากกรณีศึกษาวัตถุพยานในพื้นที่ความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานียะลา และนราธิวาส) กับสงครามในประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีน่า บ้านในพื้นที่ปัจจุบันเป็นหลักฐานแห่งความทรงจำและประสบการณ์ที่โหดร้ายต่อสมาชิกครอบครัวผู้เคยเผชิญกับความรุนแรงและภาวะสงคราม บ้านบางหลังรอเข้าสู่สถานะแห่งความรกร้างในอนาคตเพราะการเคลื่อนย้ายออกนอกพื้นที่ของผู้คน ชิษณุพงศ์เห็นว่าแนวทางการเล่าเรื่อง “บ้านร้าง” ช่วยเปิดมุมมองการทำความเข้าใจ “วัดร้าง” ซึ่งเป็นโครงการวิจัยที่กำลังดำเนินอยู่ อำนาจของหน่วยงานรัฐที่ซ้อนทับบนวัดร้างผ่านเครื่องมือทางกฎหมายนั้นมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการครอบครองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ การบริหารจัดการพื้นที่ตามหน้าที่ และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากร รัฐจึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดว่าวัดใด “ร้าง” หรือ “ไม่ร้าง” [อ่านบทความต่อได้ที่นี่]